(อนิเมะที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยดูมา) Aku no Hana (อีดอกนรก) Episode 13 อวสาน : Anibon Program
By : Unknown
และในที่สุดเรื่องราวทั้งหมดก็เดินจนมาถึงตอนที่ 13 แล้ว
เรื่องราวของกระหรี่โรคจิตและเด็กหลังซองไวไว ก็ดำเนินมาถึง
ตอนจบแล้ว
คิดถึงใบหน้านี้ได้ไหม ลายเส้นแบบนี้ได้ไหม แน่นอน
เขาจะเอาภาพเหล่านั้นมายำรวมในตอนนี้
เชื่อไหม !! ถ้าคุณดูไม่รู้เรื่องก็ไม่แปลก
เพราะกูก็ไม่รู้เรื่อง 555+
สุดท้ายเหมือนกับจะเป็นความหลอกหลอน เมื่อมีภาพที่
เราไม่เคยเห็นในเรื่องโผล่เข้ามา เหมือนกับจะมีซีซั่น 2
แต่เป็นไปไม่ได้หรอก จะเอาเงินที่ไหนมาทำต่อ
เอาจริงดิ
หวังว่าคงจะสนุกนะ คำที่อาจารย์ผู้วาดเรื่องนี้กล่าวหลังจบตอน
ไปเสพความ****ของเรื่องนี้ได้แล้ว
ความฮาครั้งสุดท้าย จัดไป !!
Aku no Hana (อีดอกนรก) ตอนที่ 13 อวสาน
อนิเมะที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยดูมา
Destiny R. Episode 2 : เช้าที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่
By : Unknown
สมาชิกในห้องของผมนั้นเริ่มมากันค่อนข้างเยอะแล้ว
เวลาเริ่มเรียนชั่วโมงแรกของแต่ละห้องไม่ตรงกัน เนื่องจากบทเรียนของแต่ละห้องที่เรียนไม่เหมือนกัน
ทำให้บางคนขี้เกียจมาเร็วมากนักก็เลยชอบตื่นสายกันบ่อยๆ สำหรับชั่วโมงแรกในวันนี้ของห้องผมเริ่มเรียนประมาณ
8 โมงครึ่ง
เป็นของอาจารย์อาร์ซิลเลียนซึ่งครั้งที่แล้วอาจารย์นั้นสั่งงานเอาไว้ 200 หน้าทำให้หลายคนมาเช้าเพื่อทำการบ้านนี้แหละจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่วางมือกันแม้แต่วินาทีเดียวเลย
การบ้านของผมนั้นเสร็จแล้วเนื่องจากขอลอกพี่ชินเขามาส่วนหนึ่ง
การบ้านส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพื้นฐานทักษะการต่อสู้ประชิดตัว
ในที่นี้เราเรียกกันว่า “ วิล (Will) ” ซึ่งเป็นเรื่องที่พี่ชินเขาถนัดมาก ทำไม่ถึง 5 นาทีก็เสร็จ
จริงๆ แล้วผมก็สามารถทำเองได้ แต่พอดีผมไม่ค่อยชอบเท่าไหรเลยไม่ทำ
การบ้านที่ผมทำมักจะเป็นวิชาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับโฮโลแกรมเป็นส่วนใหญ่ และนี้ก็เป็นเรื่องที่พี่ชินเขาไม่ถนัดเอาเสียเลย
ทำให้เราสองคนกลายเป็นหุ้นส่วนทางด้านการบ้านผลัดกันลอกเสมอๆ
ไม่นานนักขณะที่ผมกำลังนั่งรอธุระของผมที่ยังไม่มาสักทีและปล่อยให้น้องอารินเขาจัดการกับพี่ชินเขาต่อไปนั้น
เสียงฝีเท้าของคนคนหนึ่งที่ดังมาจากข้างนอกวิ่งตรงมาที่ห้องอย่างเร่งรีบ เลื่อนเปิดประตูห้องอย่างรุนแรง
ทุกคนในห้องหยุดชะงักการทำงานทุกอย่าง
พร้อมมองตรงไปผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเกิดอาการหอบด้วยความเหนื่อยยืนก้มหน้าอออยู่ที่ประตูและกำลังจะพูดบางอย่างออกมา
“ แหกๆ นี่ๆ
หนูไม่ได้มาสายใช้ไหมค่ะ อาจารย์อาร์ซิลเลียน ” สีหน้าที่ซีดเซียวแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ นี่ๆ อยากบอกนะว่า
ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกอีกแล้วใช้ไหม เจ๊ชาร์ ” พี่หัวหน้าบอสซุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่คล้ายอาจารย์
แต่ในแบบที่ดัดนิดดัดหน่อย
“ อ้าวตาพี่บอสซุนทำไมไม่นั่งที่ล่ะ
แล้วทุกคนทำไม.... ” ชาร์เดินเข้ามาในห้อง
เมื่อตนสำรวจโดยดีแล้วนั้น เธอจึงทำหน้าที่มึนงงอย่างสุดๆ เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นในห้อง
“ นี่ !! ตอนนี้เวลา 8 โมง 15 นาทีเอง
ยังไม่เข้าเรียนเลย ทีหลังก่อนจะเข้าห้อง ถ้าเจ๊คิดว่าเจ๊จะมาสายก็หัดเปิดประตูเบาๆ
แล้วก็ดูก่อนว่าคนในห้องกำลังทำอยู่ ”
“ เอ้า 8 โมง 15 เองหรอ แหม่ๆ งั้นก็แย่นะสิ
ทีหลังตั้งนาฬิกาปลุกก่อนดีกว่าเนอะ ” เธอทำท่าเกาหัวและศีรษะเหมือนตัวละครน่ารักในการ์ตูน
“ รู้ไหมเจ๊ชาร์
เจ๊พูดคำนี้มาประมาณ 100 รอบแล้วนะ ” พี่บอสซุนยืนเท้าเอว
“ ช่างเถอะๆ
เอาการบ้านมาลอกหน่อยจิพี่ !! ”
“ ได้ๆ เห้ยเทอรี่
เอาการบ้านไปให้เจ๊ชาร์เขาลอกหน่อยสิ ” พี่บอสซุนรีบหันไปทางเทอรี่ซึ่งอยู่ข้างหลัง
กำลังนั่งลอกการบ้านอย่างเชื่องช้า เทอรี่เมื่อได้ยินคำของพี่บอสซุน
ก็หันไปมองหน้าพี่บอสซุนสักพักและก็พูดบางอย่าง
“ เอ้า !! เขายังทำไม่เสร็จเลยอ่ะ ”
“ แล้วคุณชายนั่งทำอะไรอยู่ล่ะ
ทำไมงานการไม่เสร็จสักที ” พี่เขาตะโกนถาม
“ ก็ดูสี้
!!! ลายมือแบบนี้ใครมันจะอ่านออก ต่อให้พระเจ้ามาอ่าน
ยังต้องเปิดพจนานุกรมเลย ” เขาชี้ไปที่ลายมือสุดวิเศษของพี่บอสซุนบนการบ้าน
พี่เขาเห็นดังนั้นก็เหงือตกพร้อมพูดแก้ตัวว่า
“ อุ้ย !! โถ่ไอ้น้องรัก นี่มันออกจะศิลปะ ” เขาทำท่าเขิญอายอีกแล้ว
“ ไม่เป็นไรๆ
เทอรี่เดี่ยวแกรอลอกต่อจากฉันก็ได้ เดี่ยวฉันจะถอดรหัสการบ้านของตาพี่บอสซุนให้
” ชาร์เห็นสถานการณ์ดังนั้นแล้วจึงรีบเข้าไปพร้อมแสดงอาการไม่เป็นไร
เธอคนที่มีท่าทางรีบร้อนและมีไฟในการทำงาน
เป็นคนที่ร่าเริงอยู่ตลอดเวลานี่มีชื่อว่า ชาร์ลีน่า อัลเบริค หรือ เจ๊ชาร์ อายุ 17 ปี เธอเคยมาสอบที่โรงเรียน
Destiny มาแล้วครั้งหนึ่งแต่สอบไม่ติด มาติดเอารอบที่ 2
ตามปกติแล้วชาร์เป็นคนที่เก่งหลายๆ
อย่างไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเรียนหรือการทำงานนอกเวลาเรียนของเธอ
ชาร์นั้นเป็นเพื่อนคนหนึ่งของพวกเราที่ค่อนข้างมีอิสระ เป็นคนที่นิสัยดี อัธยาศัยเป็นเลิศ
มีน้ำใจกับเพื่อนสุดๆ พอๆ กับมิ้งเลย ทุ่มเททุกอย่างให้เพื่อนได้โดยไม่ลังเลใจแม้แต่นิดเดียว
เธอจึงเป็นที่รักของทุกคนในห้อง ว่ากันว่าถึงแม้ครอบครัวเธอจะเป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจร่ำรวยมหาศาลในทางตอนตะวันออกจนเป็นที่ร่ำลือ
แต่เธอกลับเป็นคนที่ชอบทำงานเป็นพนักงานตามร้านอาหารบ้าง
เป็นบรรณารักษ์ที่หอสมุดใหญ่ตรงข้ามโรงเรียนเราบ้าง ทำงานรายได้เสริมต่างหนักมากๆ
จนถึงขนาดที่เธอมาโรงเรียนแบบรั่วๆ ตอนเช้าแบบนี้ทุกวัน จนเธอกลายเป็นหนึ่งในหลายๆ
คนที่น่าเป็นห่วงพอตัวในห้องของเรา
“ เห้อ !! จริงๆ เลย อะไรของพวกนั้นล่ะนั้น เล่นกันแต่เช้าเลย พี่ว่าไหมล่ะพี่ชิน ?
” ผมถอนหายใจพร้อมกับพูดคุยกับพี่ชินซึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง ผมนั่งรอสักพักหนึ่งเห็นว่าพี่เขาไม่ตอบกลับมาผมจึงพูดต่อไปว่า
“ นี่ !! พี่จะเงียบทำไมล่ะ แสดงความคิดเห็นหน่อยซิ ยิ่งรึไง
หรือว่าไม่อยากคุยกับผม ? ” พี่เขายังไม่ตอบผมกลับมาเช่นเดิม
ผมเลยต้องหันไปมองพี่เขาข้างหลัง ในที่สุดก็พบกับความจริง
“ อ้าวเห้ยพี่ !!
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมเป็นสภาพแบบนั้น ? ” ร่างของพี่ชินตัวดำเมี่ยมนอนกองอยู่กับพื้น
เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงรีบวิ่งไปผยุงร่างของพี่เขาทันที
“ พี่ดีใจนะ ที่มีเพื่อนรุ่นน้องที่แสนดีอย่างนายนะ
อนันต์ ” พี่ชินยื่นมือของเขามาจับที่มือของผม
“ พี่รู้แล้วว่าวันนี้น้องอนันต์เป็นห่วงพี่มากแค่ไหน
” พี่ชินพูดต่อพร้อมกับมีน้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลออกมา
“ พี่ไม่นะ !!
อย่าพูดเป็นลางไม่ดีแบบนั้นสิ ” ให้กำลังใจพี่เขาหน่อยก่อนที่จะบ้าไปก่อน
“
น้องอนันต์ ไว้พบกันอีกครั้งที่ทางช้างเผือกนะ ลาก่อน ” โอเค ที่นี้รู้เหตุผลแล้วว่าทำไมเมื่อวันก่อนพี่เขาไม่ได้ทำการบ้านมา
มันหาเวลาไปดูละครตอนไหนว่ะ
เมื่อพี่ชินพูดจาล่ำลาเป็นที่เรียบร้อยเสร็จแล้ว
พี่เขาก็นอนสลบแน่นิ่งไป ผมที่ผยุงร่างของพี่เขาอยู่ หลังจากได้ยินสิ่งไร้สาระที่เขาพูดเสร็จ
ผมก็ทิ้งร่างของพี่เขาโดยไม่ได้สนใจอะไร ผมยืนขึ้นด้วยความรวดเร็ว
ไม่รอช้าผมจึงหันหน้าไปทางน้องอารินซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์มา
ดูเหมือนว่าพี่แกกำลังขบคิดอะไรบางอย่างนานสองนานเลยทีเดียว ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดสิ่งที่พี่แกกำลังคิดก็คงเป็นอะไรที่ไม่น่ากล่าวถึงเกี่ยวกับผู้ชาย
2 คน และดูเหมือนกำลังจะเตรียมไปเล่าให้เพื่อนสนิทของเธอฟัง
จะเป็นใครซะอีกนอกจาก คุณหญิงมิ้ง กับ แม่เถื่อนคานะ
“ ขออนุญาตครับ คุณน้องอาซิตะ
” ผมถามด้วยอาการสุภาพ มารยาทเรียบร้อย
“ อ่ะๆ
มะ...มีอะไรค่ะ คะ...คุณพี่เรนดร้อป ” อาการตกใจของเธอเมื่อผมถามคำถามไปออกมาเห็นได้ซัด
แสดงว่าสิ่งที่เธอคิดไว้น่าจะไปได้ไกลเชียว
“ บอกตามตรงนะคุณน้อง
บางครั้งน้องก็น่าจะวางมือจากหมอนี่บ้างนะ พี่อยากจะบอกเรื่องเหล่านี้กับน้องมานานมากแล้ว
แต่แล้วมันก็ไม่ทันกาล ในที่สุดวันนี้พี่ชินเขาก็ได้ไปทางช้างเผือกอย่างที่มันต้องการสักที
”
“ แหะๆ
พอดีหนูอยากให้พี่ชินจังเขาไปที่ดวงจันทร์มากกว่าอ่ะนะ
เพราะว่าที่โน้นมีกระต่ายเยอะค่ะ ” น้องอารินเขาทำหน้าระรื่น
มีเหงื่อออกเล็กน้อยที่ใบหน้าคล้ายกับอาการอาย หลังจากพูดประโยคเมื่อสักครู่จบไป
“ พอดีบางครั้งพี่ก็ไม่ค่อยจะมีอารมณ์ขันมากขนาดนั้นหรอกนะ
คุณน้อง ” ผมทำสีหน้าที่ตายด้านใส่น้องอาริน
ตัวเธอเองนั้นก็ยืนอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งจนตอบกลับมา
“ ปกติ พี่ชินจังเขาก็เป็นแบบนี้บ่อยๆ
เขาไม่เคยบ่นให้หนูได้ยินเลยนะค่ะ ”
“ หมอนั้นอาจจะเก็บกดก็ได้
” ผมตอบกลับไปอย่างรวดเร็วแล้วภาวนาว่าอย่าให้เกิดอะไรขึ้นแบบเดียวกับที่พี่มันเจอวันนี้เลย
และหลังจากที่ผมสนทนากับน้องอารินเขาเสร็จก็กลับไปที่นั่งของผมริมหน้าต่าง
“
อย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเล้ย !! ขอนั่งอยู่เงียบๆ เถ้อะ ” ผมภาวนาในใจขณะที่กำลังจะย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้
“ ตาบ้าอนันต์ !! ” น่านมากันแล้ว
“ วันนี้คือ วันตายของนาย !!! ” เสียงตะโกนที่แหลมนิดๆ
คล้ายผู้ใหญ่ โหดเหี้ยมและดุดันดังมาจากข้างหลังผม ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใครแต่ว่าสัมผัสที่
6 กำลังบอกอันตราย ผมนั้นตกใจเด้งจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วทันที
“ ขะ...ขอโทษครับ
คือ...ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะครับ ” ผมรีบกล่าวขอโทษดักหน้าไว้
ก่อนที่จะค่อยๆ หันไปข้างหลังอย่างช้าๆ เพื่อดูว่าใครคือเจ้าของเสียง
“ โว้วๆ อะไรกันเนี่ย
!! ” น่าน !! ในที่สุดธุระของผมก็มาจนได้
หลังจากรออยู่เป็นเวลานาน เชื่อหรือไม่ว่าทันทีที่ผมหันไปนั้น
ก็ต้องอุทานมาเป็นคำพูดเมื่อครู่ เนื่องจากสิ่งที่ผมเห็นจากข้างหลังคือ
ดาบเรียวยาวขนาดพอประมาณมีประกายไฟติดอยู่ที่ดาบเล็กน้อยกำลังชี้ตรงมาที่ผมโดยผู้ที่ถืออยู่นั้นคือ
คานะ ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงข้างต้นที่กำลังฉุนเพราะเรื่องอะไรไม่ทราบ กับ ปืนขนาดลำกระบอกใหญ่ที่ถ้าเล่งถูกนัดเดียวได้นอนโรงพยาบาลยาวของมิ้งที่สายตาของเธอตอนนี้ดำมืดสนิทกำลังเล่งมาที่ผม
ยืนอยู่ตรงประตูหลังห้อง
“ นี่เรื่องอะไรกันเนี่ย
ระ...เราค่อยมาคุยแบบเปิดอกกันก่อนดีไหม ”
“ เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้วล่ะค่ะ
ไม่มีคำแก้ตัวสำหรับคนอย่างคุณค่ะ พี่อนันต์ !! ” เสียงที่เย็นชาออกมาจากปากของมิ้ง
พูดไม่ทันจบเธอก็นำนิ้วไปสอดที่ไกปืนพร้อมที่จะยิง
“ ฉันมาเป็นเพื่อนพี่มิ้งนะ
หมั่นไส้นาย ฉันก็เลยอยากจะสับนายเป็นชิ้นๆ สักหน่อย ” คำพูดที่ไม่ตรงกับกิริยาของเธอที่กำลังทำอยู่ตอนนี้นั้นเห็นได้ชัดเจนมากๆ
“ เธอกำลังพูดโกหกอยู่นะ คานะ
” ผมโต้ตอบไปโดยไม่ได้คิดเลยแม้แต่นิดเดียวว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
“ คะ...ใครโกหกกันตาบ้า
ดีล่ะ !! พี่มิ้งหนูว่าเรามาพิพากษาตาบ้านี่เลยดีกว่า
”
“ เห็นด้วยเลยค่ะ
”
ผมได้ยินเสร็จก็ถึงกลับต้องกลืนน้ำลายเลยทีเดียวเพราะตอนนี้ผมกำลังจะได้รับประสบการณ์เหมือนพี่ชินเสียแล้ว
“ กล้วยทอด ” ผมอุทานแบบเบาๆ
ไม่ให้ใครได้ยิน คิดยังไม่ทันเสร็จ มาแล้วครับสองคนนี้พุ่งหล่าวมายังกับนักกีฬาทีมชาติอะไรประมาณนั้น
ทางด้านของยัยคานะเข้ามาก่อนโดยเอาดาบที่เปลวเพลิงติดอยู่เป็นประกายของเธอตวัดมาข้างหน้า
ผมใช้ความคล่องตัวเล็กน้อยหลบไปข้างหลังได้ แต่ยังไม่ทันได้วางใจ
มิ้งก็ใช้ปืนที่ถืออยู่ในตอนแรกยิงเข้ามาเต็มๆ
แต่กระสุนยังไม่ทันมาถึงผมก็รีบหยิบดาบที่ยังไม่ชักออกจากฝักยาวพอประมาณของผมที่วางอยู่ข้างโต๊ะของผมมาปัดออกไปได้
ซึ่งการโจมตีสองครั้งเล่นอีกผมซีดเลยทีเดียว เหนื่อยมากจริงๆ
แต่การโจมตีทั้งสองครั้งนั้นไม่ได้ทำให้สภาพของห้องเรียนนั้นเสียหายแต่อย่างใด
แต่กลับให้คนทั้งห้องกำลังมุงดูว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่
“ นี่พวกเธอมีอะไรรึป่าว
ทำไมถึงมีอารมณ์ไอน้ำแต่เช้าเลยล่ะจ้ะ หรือว่าจะเป็นเรื่องของธุระเมื่อวาน ”
ผมถามด้วยอาการกลัวโดยโค้งตัวไปข้างหลังเล็กน้อย
พร้อมที่จะวิ่งลงหน้าต่างตลอดเวลา
“ ฉันได้ยินมาว่าเมื่อวานคุณพี่อนันต์กับคุณพี่ชินไปทำกิริยาไม่ดีกับผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ต่างโรงเรียนสินะค่ะ
ฉันซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบคุณพี่อยู่แล้ว บทลงโทษก็ต้องเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ
” มิ้งพูดด้วยคำที่หนักแน่นแสดงความโกรธพร้อมกับลดปืนลงเล็กน้อย ผมเองตอนนี้เตรียมกระโดดหนีออกนอกหน้าต่างแล้ว
“ เดี่ยวก่อนๆ พี่ว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรเมื่อวานเลยนะ
เรื่องที่กลับบ้านกับพี่ชินนั้น ใช้ !! เรื่องจริงเลยล่ะ
แต่ว่า....” ผมที่ยังไม่ทันพูดจบ
ยัยคานะก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาทันที
“ ยะ...อย่าแก้ตัวเลยดีกว่า
นายนะโกหกเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้วตาบ้า พี่มิ้งอย่าไปเชื่อหมอนี้เชียวนะ
ต่อให้อมพระร้อยองค์มาพูดชั้นก็ไม่เชื่อ นายนะกะล่อนปลิ้นปล่อนที่สุดในสามโลกเลยล่ะ
”
“ ใจเย็นกันก่อนนะ
มีเรื่องเข้าใจผิดแน่นอนนะ เชื่อพี่บ้างเถอะนะ ”
“ จะให้เชื่อได้ยังไงล่ะค่ะ
ก็เมื่อวานทั้งอารินจัง คานะจัง และฉันเองยังเห็นอยู่....อุ้บ !! แย่ล่ะสิเผลอพูดออกไปได้ (กระสิบกับตัวเองเบาๆ) ก็ที่พูดมาฉัน...
อารินจังเมื่อวานเราไปเดินกับบ้านด้วยกันเนอะ ไม่ได้เห็นพวกคุณพี่อนันต์เลยเนอะ
” เหงื่อของมิ้งไหลออกมาอย่างหนัก
ตัวสั้นเหมือนกำลังจะหลุดความจริงออกมา
“ พี่มิ้ง !! เมื่อกี้พี่ก็เผลอหลุดออกไปนะ หนะ...หนูก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเช่นกันนะ คะ...คานะจังช่วยด้วยสิจ้ะ
อุตสาห์อยู่ด้วยกันนะ ”
อารินพยายามแก้ตัวอย่างรวดเร็วเหมือนกำลังพยายามเอาไฟดับน้ำอยู่เลย
“ อะ..เอ่อ คือว่า
ฉันเอง...ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย...ทำไมล่ะตาบ้าอนันต์ เรื่องของนายใครอยากจะรู้ล่ะ
” เธอพูดไม่ตรงกับใจเช่นเดิม
และด้วยเหตุนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าเมื่อวานสามคนนี้ทำอะไรหลังจากเลิกเรียน
และรู้ด้วยว่าทำไมวันนี้ตอนเช้าพี่ชินถึงได้โดนอัดซะตัวดำเมี่ยมนอนสลบอยู่ตรงโต๊ะของพี่เขา
“ แต่ก็อย่างว่านั้นแหละค่ะ
!! มีอะไรรึป่าวล่ะค่ะ ทำอะไรลับๆ ล่อๆ น่าสงสัย
คนอื่นมาเห็นมันดูไม่ดีนะค่ะ ” มิ้งที่ตอนแรกยังเขิญอายไม่กล้าพูด
กลับตะโกนถามด้วยเสียงที่แหลมแสบเข้าไปในแก้วหู
“ นั้นแหละ !!
บอกมาเดี่ยวนี่นะตาบ้า ก่อนที่ฉันจะเอาดาบเล่มนี่ไปเผานายให้เป็นจุลอีกรอบหนึ่ง
” คานะหยิบดาบของเธอที่ลุกเป็นประกายไฟเล็กๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
“ อะ...เอ่อ คือว่าหนูว่าพี่ทั้งสองคนใจเย็นก่อนดีกว่านะ
การที่เราใจร้อนทำอะไรสักอย่างโดยไม่คิดก่อนมีแต่จะนำผลเสียมาสู่ตัวเรานะ คานะจัง
มิ้ง ” อารินเตือนเพื่อนรุ่นพี่ของเธอด้วยอาการสั่นๆ
เล็กน้อย
“ แล้วที่นอนเป็นเฉาก๋วยอยู่ข้างๆ
โต๊ะของพี่คืออะไรล่ะครับ คุณน้องอาชิตะ ” ผมชี้ไปที่ร่างของพี่ชิน
“ ปะ...ป่าวสักหน่อยค่ะคุณพี่เรนดร้อป
ที่คุณพี่เรนดร้อปเห็นมันเป็นภาพลวงตาค่ะ จะ..จริงๆ นะค่ะ ” เธอแก้ตัวอย่างหนัก
“ คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้นะทั้งสามคน
ฟังพี่ก่อนนะ ใจโล้งๆ ใจเย็นๆ ” ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะของผมด้วยอาการเกรงกลัวเล็กน้อย
ผมเก็บดาบที่ยังไม่ทันได้ชักออกฝักของดาบของผมลงใต้โต๊ะ
ทั้งสามคนเก็บอาวุธคนตัวเองแล้วลากเก้าอี้ที่อยู่แถวนั้นมานั่งล้อมรอบผมเหมือนกับนักเลงที่กำลังจะไถ่เงิน
ผมได้แต่นั่งเกร็งอยู่กับที่ ตัวสั้นหยิกๆ ราวกับกำลังจะโดนประหารอะไรสักอย่าง
ผมเหลือบมองไปที่พี่ชินที่นอนแอ่งแม่งโดยฝีมือของแม่หนูอาริน
คอยแต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น
“ ว่าไงล่ะพี่
!! ” ทั้งสามคนตะโกนออกมาพร้อมกันทำเอาผมสะดุ้งไปไม่ถูกทางเลยทีเดียว
“ แหม่ !! ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะทั้งสามคน พี่กับพี่ชินก็แค่... ”
“ ยังไงค่ะ ทำไมพูดช้าแบบนี้ล่ะค่ะ
” มิ้งทุบโต๊ะ ทำเอาผมใจล่นไปกองกับพื้นเลย “ อ้อ !! กำลังหาข้อแก้ตัวละซิ
”
“ เร็วๆ ซิตาบ้า ถ้าไม่รีบพูดให้จบพี่ได้เป็นอาหารเย็นของสัตว์เลี้ยงหน้าบ้านฉันแน่
!! ” คานะหยิบดาบของเธอที่วางอยู่ข้างๆ ชี้ที่ผม
ขณะที่มิ้งนั้นก็ไม่ได้ห้ามอะไร กลับส่งสายตาให้กับคานะราวกับว่า “ เอาเลย !! ฆ่าให้ตาย ไม่ต้องเหลือไว้ก็ได้ ” ประมาณนี้ คานะเห็นดังนั้นก็พยักหน้าตามด้วยซะงั้น
“ ไม่นะพี่ชินจัง ” อารินเริ่มออกอาการเหมือนกำลังจะร้องไห้ น้ำตาเริ่มไหลออกมาเล็กน้อยแล้ว
“ คือว่าน้องๆ ทุกคน
พอดีว่าเมื่อวันก่อนพี่กับพี่ชินก็เดินกลับบ้านตามปกตินี้แหละ แล้วผู้หญิงที่น้องทั้งสามเห็นนั้นน่ะ
เขาแค่มาถามทางเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก มีแต่พี่ชินคนเดียวนั้นแหละที่เข้าไปจีบเขานะ ”
ผมรีบแก้ตัวอย่างกะทันหัน
“ อ้าวน้องอนันต์ !! ทำไมทำยังนี้อ่ะ อุตสาห์จะนอนเนียนสักหน่อย อย่าโยนกันแบบนี้สิ ” จากร่างที่นิ่งเหมือนศพเมื่อครู่ก็ลุกขึ้นมาพูดอีกครั้งด้วยอาการร้อนรนสุดขีด
ผู้หญิงทั้งสามคนเมื่อได้เห็นจึงจ้องเขม่นไปที่พี่ชิน
“ มีแต่น้องอนันต์นั้นแหละที่บอกว่า
น่ารักดีนะ แหม่ถ้าได้เป็นแฟนโชคดีตายเลย แบบนี้อ่ะ ”
“ เห้ย !! เวรเอ๋ย
” ซวยแล้วล่ะครับ ตอนนี้เจ้าโยนความผิดมาที่ผมเรียบร้อยแล้ว ความตายกำลังจะมาเยือนพวกผมทั้งสองคน
“ งั้นหรอ หวังว่าพี่ไลก้าบ้านั้นคงไม่ได้โกหกหรอกนะ
” คานะพูดเสร็จพร้อมกับยิ้มแบบหนังสยองขวัญ
“ มันโกหก
ยะ...อย่าไปเชื่อเจ้าพี่ชินเลย พี่มันพยายามโยนความผิดให้ผมนะ น้องมิ้งช่วยพี่ทีสิ
” ผมเข้าไปกอดที่ขาของมิ้ง พยายามขอให้เธอเชื่อในสิ่งที่ผมพูด
แต่แล้วเธอมองหน้าผมด้วยสายตาที่ดำมืด หลังจากนั้นจึงหันไปมองที่พี่ชิน
“ จริงรึป่าวค่ะ พี่ไลก้า
” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไร้ความอ่อนหวานที่เธอเคยมีอยู่เมื่อตอนที่แรกพบเจอ
“ จริงสิๆ ที่น้องอนันต์พูดน่ะโกหก
ที่พี่พูดน่ะความจริง ” พี่น้องรักอย่างผมทั้งสองคนตอนนี้ได้ฆ่ากันเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มิ้งนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เธอจึงหันไปคุยกับอารินซึ่งกำลังยืนอ่ำๆ อึ่งๆ
อยู่ว่าอยากจะทำอะไร
“ น้องอาริน ไม่ต้องรอแล้วจ้ะ
จัดการตามที่น้องอยากจะทำเลย ฉันไม่ว่าหรอกจ้ะ ”
“ จะ..จริงหรอค่ะ
ดีล่ะ !! พี่ชินวันนี้พี่ต้องชดใช้ในสิ่งที่พี่ทำ
รับรองสบายๆ แน่นอนค่ะ ” อารินพูดแล้วยิ้มสดใสด้วยอาการร่าเริงยินดีอะไรสักอย่างตรงข้ามกับความรู้สึกของพี่ชินตอนนี้
“ โอ้ย !! ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหลแล้... เอือก !! ตาย ” เขาแกล้งตายอีกครั้งหนึ่ง
“ ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะพี่ชิน
เดี่ยวพี่ชินคงต้องนอนรอแบบนั้นไปสักพักหน่อยล่ะนะค่ะ เพราะว่า เดี่ยวรอหุ่นมันชาร์ตพลังให้เต็มก่อน
จะได้ปล่อยทีเดียวให้ไปดาวอังคารเลย ” เธอไปปรับแต่งหุ่นตัวเล็กที่เธอใช้จัดการไปเมื่อสักครู่
นำมาวางใกล้พี่ชินอีกครั้ง
“ โครตอลังการงานสร้างจริงๆ
เลยอารินจ๋า สมแล้วที่เธอเป็นคนเก่งที่ฉันนับถือ ” เขาลุกขึ้นมาพูดอีกแล้ว
“ เอาจริงๆ
ค่ะไม่ต้องมาพูดเล่น ในตอนนี้หนูมีบทเต็มที่ค่ะ พี่ชิน !! ”
“ พี่ชินเนี่ยไม่น่าทำแบบนี้เลยนะ
นิสัยไม่ดีๆ ว่าแต่วันนี้อากาศดีจังเลยเนอะ ” ผมซึ่งเห็นสภาพของพี่ชินแล้วดังนั้น
ก็เดินออกไปห่างๆ ด้วยความแนบเนียน
“ ระวังฟ้าผ่านะค่ะ
” มิ้งพูดเตือนจนทำให้ผมถึงกับยืนนิ่งไปไหนต่อไม่ได้
“ วันนี้ได้ฉันจะอัดพี่สมใจอยากของฉันแน่ๆ
” คานะพูดเสร็จพร้อมกับหยิบดาบที่แนบอยู่ข้างหลังมาขัดถูให้เงางามเหมือนใหม่
โอเคตอนนี้ผมคงได้รู้ความรู้สึกที่พี่ชินเป็นอยู่แล้วล่ะ
“ ห้องนี้วุ่นวายกันแต่เช้าเลยเนอะ
!! ชาร์ ”
กล่าวถึงเรื่องราวอีกฟากหนึ่งของห้อง 2 ก่อนที่จะเข้าเรียน
ผู้หญิงผมยาวสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังเดินอุ่มกระต่ายตัวหนึ่งสีขาวพร้อมกับมีนกกระตัวเล็กตัวน้อยมาเกาะ
มาบินว่อนรอบๆ เธอไปหมด ทักทายชาร์ซึ่งกำลังยืนอึ่งอยู่ เนื่องจากตกใจกับเหล่าสัตว์เล็กน้อยใหญ่
ชาร์ที่พึ่งเสร็จจากการลอกการบ้านของบอสซุน ซึ่งให้เทอรี่นั่งลอกต่อจากเธออยู่ใกล้ๆ
บอสซุนที่ตอนนี้กำลังนั่งซึมอยู่ตรงหน้าต่าง ชาร์เริ่มตอบกลับเวลมิเรียตามมารยาท
“ อ้าว !! พี่เวลมิเรียมาแต่เช้าเลยนะเนี่ย แหม่ก็วันนี้มันวุ่นวายนิดหน่อยน่ะสิ ฉันเองก็คิดว่าวันนี้จะรีบมาเช้าๆ
สักหน่อยกลับกลายเป็นว่า ตื่นสายซะงั้น แย่จังเลยเนอะ ” ชาร์เกาที่ศีรษะแสดงอาการเขิญอายเล็กน้อย
“ นั้นสินะจ้ะ
ทีหน้าทีหลัง เจ๊ก็รู้จักดูแลตัวเองมากกว่านี้ล่ะกันนะ เจ๊น่ะทั้งทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน
ทั้งเป็นรองหัวหน้าห้องคอยแบ่งเบาภาระงานของห้องที่ตัวหน้างี่เง่าของเราทำไว้อีก ถ้ามีอะไรบอกได้นะฉันยินดีช่วยเสมอ
” เวลมิเรียแสดงอาการสงสารชาร์
โดยยืนมือมาจับที่มือของเธอแสดงอาการห่วงใย
ปล่อยเจ้ากระต่ายตัวเมื่อสักครู่ไปเกาะบนไหล่
“ เห้ยๆ !! พี่อย่ายืนว่ากันตรงๆ ต่อหน้าสิ ผมนั่งอยู่ตรงนี้ก็อายเหมือนกันนะพี่ !!
” บอสซุนแอบที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ บ่นออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย
ทำให้ชาร์หันไปมองเขาสักครู่พร้อมหัวเราะเบาๆ
“ ไม่เป็นไรหรอกพี่
!! ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันชินแล้วล่ะ ว่าแต่พี่เวลมิเรีย
วันนี้พี่พาพวกเขามาอีกแล้วเหรอ ” ชาร์มองไปที่บรรดาสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายที่ตามเวลมิเรียมา
รวมทั้งเจ้ากระต่ายที่กำลังเล่นผมสีน้ำเงินเข้มอันยาวสลวยของเวลมิเรีย
“ อ้าว !! แหม่เจ๊ก็พูดเกินไปแล้วนะ พวกเขาน่าสงสารจะตายไป
ดูที่กระต่ายตัวน้อยที่ฉันอุ้มอยู่สิ ฉันเห็นเขาเดินอยู่แถวหน้าโรงเรียนมาตั้งหลายวัน
รู้สึกว่าเขาเหมือนจะโดนทอดทิ้งนะจ้ะ ”
ชาร์มองอย่างบรรจงที่ตัวกระต่าย
“ หวังว่านี่คงไม่ใช้เหตุผลที่จะเอาสัตว์เข้ามาเลี้ยงในโรงเรียนหรอกนะพี่เวลมิเรีย
”
“ แหม่ !! เจ๊ก็พูดเกินไปนะ ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ก็พวกเขาน่าสงสารออก
ถ้าปล่อยให้พวกเขาเป็นแบบนั้น มีหวังฉันคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ แน่นอนล่ะจ้ะ
” เวลมิเรียพูดเสร็จพร้อมกับเล่นกับเจ้ากระต่ายตัวน้อยที่เธออุ้มมา
“ นี่ๆ พี่เวลมิเรียคือพอดีว่า
เมื่อวานอาหารแมวที่พี่ฝากซื้อไว้ ผมลืมไม่ได้ซื้อมา ยังไงผมต้องขอโทษจริงๆ นะพี่
” เทอรี่หลังจากที่ลอกการบ้านอย่างเอาเป็นเอาตายเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
เขาเห็นเวลมิเรียยืนคุยกับชาร์อยู่ข้างๆ จึงเดินเข้าไปคุยด้วย
โดยสารภาพคำพูดเบื้องต้นออกมา
“ แกว่ายังไงนะ !!
ไอ้เทอรี่ ” เวลมิเรียพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เยือกเย็นและดุดัน
ทำให้ชาร์ซึ่งยืนอยู่ใกล้เคียงเกิดอาการตกใจเล็กน้อย เทอรี่เริ่มหน้าซีดอย่าเห็นได้ชัด
เขารู้ตัวดีว่า เรื่องร้ายกำลังจะเกิดขึ้นกับเขาที่ทำให้เวลมิเรียโกรธ
ว่าไปแล้วนั้นคงต้องแนะนำเพื่อนสมาชิกในห้อง
2 ของผมอีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่า เวลมิเรีย ดราโกนาส
เรียกกันสั้นๆ ว่า เวลมิเรีย หรือ พี่เวล อายุ 18 ปี
เป็นคนที่มีอายุมากที่สุดหรือแก่รองลงมาจากพี่ชิน ผู้ที่เรียนจบมัธยมปลายก็มาต่อที่โรงเรียนนี้เพื่อเรียนวิชาชีพ
เธอเป็นคนที่รักสัตว์มากๆ ถึงขนาดตามให้อาหารสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่อยู่หน้าโรงเรียนทุกวัน
เธอเป็นคนที่สวย มีรัศมีของคุณหญิงคุณนายอย่างเต็มตัว
เป็นคนที่มีมารยาทดีงามอย่างครบถ้วน แต่จะนิสัยดุสุดๆ เมื่อเธอเห็นอะไรไม่ตรงตามที่เธอต้องการหรือถูกต้อง
มิ้ง คานะ อาริน และชาร์ มักจะขอคำแนะนำถึงเรื่องต่างๆ นาๆ จากเวลมิเรียผู้นี่เสมอๆ
แต่เคยมีคำเตือนอยู่อย่างหนึ่งที่กล่าวโดยมิ้งไว้ว่า
อย่าทำให้เวลมิเรียผู้นี้เป็นอันได้โกรธพิโรธวาทังเด็ดขาด
เนื่องจากพลังความโกรธของเธอนั้นโหดร้ายเย็นชาที่สุดในห้องนี่เลยทีเดียว
“ คือว่า พี่เวลมิเรีย ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะพี่
พอดีว่า เมื่อวานมีสุนัขตัวหนึ่งนะสิขาหักอยู่หน้าโรงเรียนระหว่างจะกลับบ้าน ผมน่ะนะเห็นแล้วสงสารเหลือเกิน
อดใจไม่ได้พี่ ผมก็เลย…” เทอรี่พยายามพูดอธิบายเหตุผลที่ทำไมตัวเขาเองไม่สามารถซื้ออาหารแมวมาให้เวลมิเรียได้
“
แล้วเป็นยังไงต่อ
แล้วแกทำยังไงกับสุนัขตัวนั้นล่ะ แล้วแกได้ให้อาหารพวกมันรึป่าว แล้ว…แล้ว…”
“ เอ่อ !! พี่เวลมิเรีย ให้ไอ้เทอรี่มันพูดให้จบก่อนซิ
อย่าพึ่งใจร้อน ไอ้เทอรี่คงไม่ใจร้ายถึงขนาดเอามันไปแกงต้มยำกินหรอก เนอะ ?
” ชาร์หันไปถามเทอรี่
“ ก็นะ ” เขาตอบเบาๆ
“ เห้ย !! เทอรี่ แกเอาจริงดิ นี่แกเริ่มไม่มีกินที่บ้านต้องมากินสุนัขแล้วหรอ
พี่เวลมิเรียพูดอะไรหน่อยสิ ” ชาร์ตกใจเมื่อได้ยินที่เทอรี่พูด
เธอนั้นเชื่อสนิทในขณะที่เวลมิเรียยังทำหน้าเฉยๆ อยู่และเทอรี่ที่แอบหัวเราะเบาๆ
หลังจากที่เห็นอาการของชาร์
“ ก็รู้ !! ว่าไอ้เทอรี่มันพูดเล่น เจ๊เนี่ยเชื่อเขาไปหมดเลยใช้ไหมเนี่ย
? ” บอสซุนที่นั่งอยู่ข้างๆ
พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่นั่งเงียบฟังอยู่พักใหญ่
“ อ้าวหรอ ไม่น่าทำไมพี่เวลถึงไม่เสทือนสักนิดเลย
ฉันเนี่ยสงสัยทำงานมากเกินไปสินะ แหะๆ ” ชาร์พูดเสร็จพร้อมหัวเราะเบาๆ
เล็กน้อย
“ พักหน่อยบ้างก็ดีนะเจ๊ !! ร้านไม่ต้องไปทำงานทุกวันก็ได้
นอนเล่นกินนมอุ่นๆ ที่บ้านบ้างก็ได้ ” บอสซุนแนะนำชาร์ที่ตอนนี้เธอกำลังมึนๆ
อยู่ในตอนเช้า
“ พี่ก็พูดถูกนะพี่บอสซุน ฉันว่าฉันควรจะเพลาๆ บ้างก็ดี น่าจะชิวๆ เหมือนพี่บ้างสินะ
”
“ บอกแล้ว บอสซุนซะอย่าง !! ” เขาพูดเสร็จพร้อมกับเชิดหน้าอกเล็กน้อย
“
เห้ย !! ” ชาร์ฉุดคิดอะไรบางอย่างได้ “ ถ้าเป็นเหมือนพี่ก็แย่สิ
เดี่ยวเพื่อนไม่คบเอา นิสัยพี่ยิ่งชั่วๆ อยู่ ”
บอสซุนเท้าเอวแสดงอาการเคืองเล็กน้อยทันที โดยมีเทอรี่ยืนหัวเราะข้างๆ
บอสซุนจึงตบไปที่ศรีษะเทอรี่อย่างไร
“
โอ้โหเจ๊ชาร์ !! ” บอสซุนพูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ “ ฉันนี้ชั่วตรงไหนห้ะ หน้าตีก็ดี รูปหล่อ
แล้วฉันจะยังมีตรงไหนให้ชั่วอีกห้ะ ? ”
ชาร์หยิบกระจกพกอันเล็กจากกระเป๋าของเธอออกมา ยื่นให้เพื่อนรุ่นพี่ของเธอให้ส่อง
“
ลองส่องดูพี่ ” บอสซุนหยิบกระจกพกของชาร์มาส่อง
“
เหร้ย !!! ” เขาแสดงอาการตกใจอย่างสุดๆ เมื่อส่องกระจก “ ใครว่ะเนี่ย ? โครตหล่อเลยอ้า !! ”
เขาทำเสียงดัดจริตเหมือนผู้หญิงชื่นชมตัวเองตามนิสัยของเขา
ชาร์และคนอื่นๆ
อ้วกทันที “ โหยพี่กล้าพูดว่ะ ”
เทอรี่กล่าวพร้อมกับหัวเราะให้กับความหลงตัวเองของพี่ชายเขา
บอสซุนหยิบหนังสือเล่มเมื่อครู่มาตีที่ศรีษะของเทอรี่
“ หัวเราะอะไร ไอ้เทอรี่ ” เทอรี่ร้องไห้ทันทีเมื่อโดนตี
“
พี่ตีผมไมอ่ะ ” เทอรี่พูดพร้อมกับน้ำตาของตุ้ด
“
ก็แกหัวเราะเยาะเย้ยฉันไม่ใช้หรอไง ห้ะ !! ” บอสซุนเถียงกลับไป
“ ป่าวพี่ ผมไม่ได้หัวเราะ โอ้ (เทอรี่ถอนหายใจ)
พี่เนี่ยแก่แล้วนะเนี่ย หูไม่ดีๆ ”
บอสซุนชี้หน้าไปที่เทอรี่เตือนว่าอย่าหัวเราะอีก เทอรี่ได้แต่หัวเราะทำหน้าระรื่นต่อความโง่เขลาของรุ่นพี่ตัวเอง
“
เห้อ !! วันนี้มันวันอะไรว่ะ ซวยชิบเป๋งเลย วันนี้มันจะมีอะไรซวยกว่านี้อีกว่ะห้ะ ? ” บอสซุนบ่นให้กับชีวิตของตัวเอง เพื่อนๆ ของเขาที่อยู่ข้างๆ
ก็พากันหัวเราะให้กับความทุกข์ของบอสซุน
Destiny R. Episode 1 : วันวุ่นวายหลังจากสองสัปดาห์แรก
By : Unknown
เป็นอย่างที่ทราบกันดีว่าชีวิตในช่วงวัยเรียนวัยรุ่นเป็นช่วงชีวิตที่สนุกสนาน
รื่นเริง และเต็มไปด้วยความทรงจำอันแสนประทับใจ
ชีวิตมันมีกันหลายแบบไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่ยากลำบาก ชีวิตที่ต่อสู้ดิ้นรน
ชีวิตที่สนุกสนาน สิ่งเหล่านี้เราสามารถพบเจอได้ในชีวิตวัยรุ่นทั่วไปอย่างเราก่อนที่จะต้องเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่
ผมเคยมีชีวิตในช่วงวัยรุ่นที่พบเจอทั้งเรื่องที่เลวร้ายที่สุด และยอดเยี่ยมที่สุด
แต่ว่าในตอนนั้นผมยังคงรู้สึกว่าชีวิตไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย
โชคชะตาที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม วนเวียนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถยอมรับได้
ผมพยายามทุกวิถีทาง ทุกอย่างที่จะเปลี่ยนโชคชะตาตัวเอง ค้นหาตัวตนที่แท้จริง
และเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อสิ่งดีๆ ในอนาคต หนทางที่ยากลำบาก ความสุขในช่วงเวลา 5 ปีที่แสนสั้นทำให้ผมรู้ว่า
ชีวิตไม่สามารถย้ำอยู่ที่เดิมจนไปถึงวันตายได้
เราไม่สามารถปฏิเสธตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เราต้องอยู่กับตัวเรา
วัยรุ่นผู้อยู่อย่างโดดเดี่ยว จนกระทั้งเติบโตเป็นผู้ใหญ่
แต่แล้วความคิดนี้อยู่กับผมได้ไม่นานนักหลังจากที่ผมสามารถสอบเข้าโรงเรียนแห่งหนึ่งอย่างยากลำบากที่มีชื่อว่า
เดสตินี่ ได้
“ ตี้ดๆ !! ติ้ดๆ
!! ขณะนี้เวลา 7 นาฬิกา 0 นาที 0 วินาที 0 เศษวินาที 0
ของเศษวินาที 0 ของเศษของเศษวินาที 0 ของเศษของเศษของเศษวินาที...” เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังในเช้า
เป็นอะไรที่กวนประสาทผมในตอนอรุณเบิกฟ้ามาก จริงๆ ผมก็ตื่นแบบธรรมดาได้ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อวานจะตั้งปลุกไว้เพื่ออะไร
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“ อะไรของเราว่ะเนี่ย
นี่เผลอตั้งนาฬิกาปลุกปัญญาอ่อนนี่อีกแล้วเรอะ !! ” ผมพูดด้วยอาการที่งัวเงียเนื่องจากพึ่งตื่นนอนพร้อมกับปิดนาฬิกาที่ร้องถึงเศษวินาทีไม่หยุด
“ ช่างเถอะ กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย
สงสัยแค่ 6 โมงเช้าล่ะมั้ง ไม่น่าจะสายถึงขนาดต้องตั้งนาฬิกาปลุกหรอก
” ผมบ่นพึมพำ เกาหัวเล็กน้อยก่อนที่จะลุกไปอาบน้ำ
“ เอ๋ะเดี่ยวก่อน !!
ถ้านี่ 6 โมงเช้า แล้วเมื่อกี้นาฬิกาทำไมพูด 7
โมงเช้าล่ะเนี่ย ” อาการมึนที่เกิดขึ้นในหัวสมองเริ่มพุดขึ้น
ไม่ช้าผมก็เดินไปหยิบนาฬิกาปลุกตัวนั้นที่วางอยู่ตรงหัวเตียงของผม
“ เวรล่ะ !! ว่าแล้วเชียว ”
ผมเมื่อดูนาฬิกาตัวนี้เสร็จปับก็ต้องรีบทำภารกิจส่วนตัวอย่างเร่งรีบ ก่อนที่จะหยิบรองเท้าหน้าบ้าน
รีบวิ่งออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถประจำทางหน้าหมู่บ้านนั้นแหละ ระหว่างทางที่วิ่งมาผมนึกได้อย่างหนึ่ง
จึงหยุดวิ่งแล้วก้มดูลงพื้น
“
แล้วเราเป็นอะไรล่ะเนี่ย !! วิ่งมาตั้งนานไม่ได้ใส่รองเท้าซะงั้น
” นึกขึ้นได้อย่างนั้น ผมจึงก้มใส่รองเท้าแล้ววิ่งต่อ
“ ซวย ซวย ซวย !!
ไม่น่าตื่นสายเลยเรา อย่างนี่ก็ไม่ได้ทำการบ้านตอนเช้าพอดีสิ
บ้าเอ๋ย !! ” ผมวิ่งบ่นไปตามประสาของคนที่หัวเสีย
จนในที่สุดก็วิ่งจนถึงหน้าหมู่บ้าน โชคดีที่รถประจำทางมาพอดีผมจึงรีบกระโดดขึ้นไปโดยไม่เกรงใจ
โชคดีที่แถวนี้ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่เยอะรถจึงว่าง ผมเลือกที่นั่งอยู่สักพักจนได้ที่ริมหน้าต่างข้างหน้าใกล้คนขับ
ระหว่างการเดินทางก็พักเหนื่อยจากการวิ่งแล้วมองชมวิวที่อยู่ข้างนอกหน้าต่าง
“ ดีนะเนี่ยที่รถมาทัน
ไม่งั้นมีหวังวันนี้คงเครียดแน่ๆ ”
บ่นไปพร้อมกับหัวเราะกับตัวเองเล็กน้อย
โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองที่ทันสมัยในทุกๆ
ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้าที่โด่งดัง หอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง หรือ
แม้แต่สวนสาธารณะที่มีคนแวะเวียนไม่ต่ำกว่าพันคนในทุกๆ วัน ซึ่งนั้นทำให้ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจสำหรับผมมากจนถึงมากที่สุด
โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่โด่งดังมากๆ แถบจะไม่เคยมีชื่อเสียงในทางที่เสื่อมเสียเลยสักนิดเดียว
แต่สุดท้ายแล้วนั้นคงไม่ใช้เหตุผลที่ว่าทำไมตอนนี้โรงเรียนนี่นั้นถึงอยากมีคนเข้าเรียนมากนัก
อาจจะเป็นเพราะว่า หลายคนคงเบื่อที่การจะใช้ชีวิตการเรียนในโรงเรียนเดิมๆ
ของตนที่อาจจะมีแต่เรื่องซ่ำซาก จำเจ น่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าโรงเรียนนี้
หรือ ไม่ก็อาจจะเป็นเพราะว่า โรงเรียนที่ผมเข้าศึกษาอยู่ในขณะนี้ไม่ใช้โรงเรียนธรรมดาๆ
ในความคิดของใครหลายๆ คนนี้นะสิ
โรงเรียนนี้มีชื่อว่า
โรงเรียน Destiny
( เดสตินี่ ) เป็นโรงเรียนที่ไม่ปกติกว่าโรงเรียนอื่น
เพราะว่า โรงเรียนนี้รับแต่คนที่มีพลังวิเศษ พลังแห่งการต่อสู้ ช่วยเหลือ ปกป้อง
และ สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ โดยใช้ศาสตร์ของพลังมหัศจรรย์ที่มีลักษณะเป็นคลื่นแฝงอยู่ในร่างกายของคนทั่วไปเรียกกันว่า
“ โฮโลแกรม ” นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผู้ที่มีความสามารถในเชิงการช่าง
หุ่นยนต์ หรือ มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเฉพาะทางที่โรงเรียนต้องการ ยกตัวอย่างเช่น
ความสามารถในด้านงานครัว ความสามารถในการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรมก็สามารถเข้าโรงเรียนนี้ได้
แต่ยังคงต้องผ่านการสอบคัดเลือกอยู่ดี อาจจะฟังดูเวอร์ๆ แต่สิ่งที่ผมว่ามานี้มันคือ
เรื่องจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกของผมเอง ในทุกๆ 2 ปีจะมีคนพยายามอย่างสุดฝีไม้ลายมือ
พยายามจนเลือดตาแทบกระเด็น เพื่อสอบเข้าโรงเรียนนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน ทั้งที่โรงเรียนนี้รับจำนวนนักเรียนเพียงแค่น้อยนิดไม่เกิน 250 คน โอกาสมีเพียง 1 ใน 40 เท่านั้นที่จะสอบเข้าโรงเรียนนี้ได้
ซึ่งบางคนอาจจะคิดไปเลยว่า มันไม่คุ้มค่าที่จะมาเสี่ยงหรือเสียเวลา แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีคนหลายคนที่ยังอยากจะเข้าโรงเรียนนี้อยู่ดี
เพราะโรงเรียนนี้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ โรงเรียนเปลี่ยนโชคชะตา ”
ของผู้ที่เข้าเรียนอยู่ที่นี้ไงล่ะ เจ่งไปเลยว่าไหม
“ นี่เธอวันนี้หลังจากเลิกเรียนแล้ว
ไปที่ไหนกันต่อดีอ่ะ ห้องสมุด หรือว่า สวนข้างโรงเรียนดีอ่ะ ”
“ ฉันว่านะ ไปร้านอาหารหน้าโรงเรียนดีกว่า
รู้สึกว่าวันนี้จะมีเมนูใหม่ด้วยนะ !! ”
“ เอ๋ !! งั้นเหรอ ดีล่ะ !! งั้นวันนี้ไปกันดีกว่าเนอะ
” งั้นวันนี้ผมคงไม่ไปดีกว่า
นักเรียนผู้หญิงสองคนที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับผมกำลังนั่งคุยอย่างเมามันส์ข้างหลังที่นั่งของผม
แต่ก็ว่าล่ะนะร้านอาหารของเพื่อนผมที่สองคนนั้นพูดน่ะน่าไปจริง ยัยชาร์เพื่อนที่ห้องของผมซึ่งเป็นเจ้าของร้านยังชวนผมอยู่เลย
ผมเข้าเรียนที่นี้ได้ประมาณ
2 สัปดาห์แล้ว
ในขณะนี้เองผมก็ยังคงคิดอยู่เลยว่ามันเป็นเพราะความบังเอิญที่สามารถสอบติดโรงเรียนนี้ได้ภายในการสอบครั้งแรก
ซึ่งปกติมีเพียงน้อยคนที่มีโอกาสโชคดีเช่นนี้
เนื่องจากส่วนใหญ่เขาจะสอบไม่ติดในรอบแรกกัน บางคนยอมมาสอบใหม่ใน 2 ปีถัดมาโดยต้องยอมเรียนในโรงเรียนธรรมดาไปก่อนระหว่างนั้น
ในตอนแรกผมคิดว่า ที่นี้น่าจะเป็นโรงเรียนที่มีแต่คนที่หยิ่งทะนงในความสามารถ
หรือไม่ก็ดูถูกผมที่ว่า ผมดูเหมือนเป็นคนที่ไม่มีอะไรวิเศษกว่าที่คนอื่นในโรงเรียนเป็นอยู่
ไม่หรอกผมก็มีสิ่งเหล่านั้นเหมือนที่พวกนั้นมีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าสำหรับผมแล้วในตอนนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องโชว์ให้คนอื่นเห็นมากกว่า
อีกอย่างในการใช้มันแต่ล่ะครั้งเป็นอะไรที่เหนื่อยมากเลยนะก็เลยไม่ใช้ ปล่อยไว้อย่างงั้นแหละ
แต่ผมคิดว่าต่อให้เอาออกมาใช้มันก็คงไม่เลิศเลออลังการเหมือนของคนอื่นเขาแน่นอน
ช่างเถอะ !! แต่ท้ายที่สุดแล้ว เวลาที่ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ความคิดไร้สาระพวกนั้นก็กลายเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว
เพราะ มันไม่ใช้ทุกอย่างที่ผมคิดเลยนะสิ ทุกสิ่งทุกอย่างในโรงเรียนโรงเรียนเดสตินี่แห่งนี้กลับกลายเป็นตรงกันข้ามกับความคิดของผมก่อนที่จะเข้าโรงเรียนนี้เมื่อ
2 สัปดาห์ก่อน หลายคนอาจจะคิดว่า
โรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงตอนสอบเข้าจะเป็นโรงเรียนในแบบที่เอ่ยไว้ในความคิดของผมข้างต้น
ใช้ไหม ? ไม่หรอกทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวเอง
“ อีก 1 ชั่วโมงโรงเรียนจะทำการเข้าเรียนคาบแรกเวลา 8.30 น.
ขอให้นักเรียนทุกคนรีบเร่งมาด่วน ทำทุกวิถีทางที่จะมาให้เร็วที่สุด ก่อนที่งานจะเข้านะจ้ะ
!! ประกาศไว้ ณ. เวลา 7.30 น. โรงเรียนโรงเรียนเดสตินี่
ผ่านนาฬิกาดิจิทัลข้อมือส่วนบุคคล ” นาฬิกาข้อมือข้างขวาของผมที่ทางโรงเรียนแจกให้นักเรียนที่เข้าเรียนทุกคนร้องเตือนพร้อมกับสั่น
ว่าแล้วคงต้องรีบหน่อย เพราะวันนี้ผมมีธุระกับเพื่อนที่ห้อง แม้นาฬิกาจะดังแต่ผู้หญิงสองคนที่คุยกันอยู่ก็ยังคุยกันต่อไปไม่ได้สนใจคำร้องเตือนที่ร้องจากนาฬิกาแต่อย่างใด
ในโรงเรียนนี้เปิดสอนด้วยกัน
3 ชั้นปี แบ่งเป็นปี 4 ปี 5 และปี 6 ใช้เวลาเรียนชั้นละ
2 ปีรวมการเรียนทั้งสิ้นในโรงเรียน Destiny ทั้งหมด 6 ปี ในแต่ล่ะปีก็จะมีด้วยกัน 6 ชั้นเรียน ซึ่งแต่ล่ะห้องก็จะมีความโดดเด่นแตกต่างกันไป ไม่มีห้องไหนเก่งที่สุด
ซึ่งนักเรียนที่จะได้ไปประจำ ณ ห้องนั้นๆ
มาจากการคัดเลือกของเหล่าคณาจารย์เป็นรายบุคคล ด้วยผลคะแนนสอบและผลประเมินจากการสอบสัมภาษณ์
ด้วยเหตุที่ว่าจำนวนนักเรียนที่รับนั้นมีค่อนข้างน้อยไม่ถึง 250 คนในแต่ล่ะชั้นปี
จึงทำให้การดำเนินการของทางโรงเรียนนี้เป็นไปด้วยความรวดเร็วทั้งที่ในโรงเรียนนี้มีคุณครูไม่ถึง
30 คนและในโรงเรียนมีแต่รักษาการผู้อำนวยการทำหน้าที่อยู่เท่านั้น
แถบไม่มีใครในโรงเรียนนี้รู้เลยว่า ผู้อำนวยการนั้นตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานของทางโรงเรียนเลยต่อให้ไม่มีผู้อำนวยการอยู่ก็เถอะ
ว่ากันว่าผู้อำนวยการคนนี้เป็นผู้หญิงนะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงรึป่าว เพราะ แถบจะไม่มีใครเคยเห็นหน้าท่านเลยน่ะสิ
ในที่สุดผมก็ลงจากรถประจำทางซึ่งมาจอดตรงข้ามหน้าโรงเรียน
ซึ่งนับจากตรงนี้ผมต้องวิ่งยาวไปขึ้นสะพานลอยที่อยู่ไกลมากเพื่อข้ามไป
“ เอาล่ะ
เตรียมพร้อมที่จะวิ่งแล้ว ส่งสัยคงต้องหอบกินแน่ๆ เลย บ้าเอ๋ย!! ” บ่นเสร็จผมก็วิ่งไปอย่างไม่รอช้า โดยไม่สนเลยว่าข้างหลังจะเกิดอะไรขึ้น
“ หมอนั้นจะรีบไปไหนกัน
ทำยังกับจะรีบไปกู้โลกอย่างงั้นแหละ โรงเรียนยังไม่เข้าสักหน่อย ”
“ นั้นสิเนอะ !!
อย่าไปสนเลย คุยเรื่องที่เราคุยต่อกันเถอะ ” นักเรียนหญิงทั้งสองคนที่พึ่งลงมาจากรถมาพร้อมกันกับผมก็ต้องแปลกใจกับการกระทำอันเร่งรีบเกินเหตุจำเป็นของผม
แม้พวกเธอจะยืนอึ้งอยู่สักพัก
แต่ไม่นานนักพวกเธอก็เบนสายตาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรและเดินคุยกันต่ออย่างสบายใจ
จากการคัดเลือกและได้ทำการประกาศผลห้องเรียนที่ได้เมื่อ
2 สัปดาห์ก่อนหลังจากประกาศผลสอบเข้าได้ไม่นานนัก
ผมซึ่งดีใจจนตัวจะลอยกับการที่สอบเข้าโรงเรียนนี้ได้อยู่แล้วนั้นก็ต้องประหลาดใจอย่างหนักกว่าเดิม
เพราะว่า ห้องที่ผมได้นั้น คือ ห้อง 2 ซึ่งเป็นห้องที่เขาพูดต่อๆ
กันมาว่ามีจำนวนคนน้อยที่สุดประมาณ 20 กว่าคนเองเท่านั้น เพราะความเคยชินที่สมัยก่อนตอนอยู่ประถมนั้น
ผมเรียนในห้องเรียนที่มีจำนวนคนน้อยอย่างนี้แหละ มันก็เลยสร้างเจตคติส่วนตัวที่ว่า
“ ยิ่งคนในกลุ่มห้องเรียนมีน้อยเท่าไหร่
ความสนิทสนมก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ” แต่มันคงไม่เกี่ยวหรอกมั้ง
เพราะ อันตัวผมเองเป็นคนที่ชอบความเงียบสงบ ก็เลยอาจจะชอบบรรยากาศที่ว่าก็ได้
คงไม่เกี่ยวกับคนอื่น
“ แฮก แฮก
ในที่สุดก็มาถึงสินะ เกือบตายแหนะ ยิ่งไม่ค่อยชอบวิ่งไกลๆ อยู่ด้วย บ้าเอ๋ย !!
” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ หลังจากที่วิ่งบ่นในใจตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงหน้าโรงเรียน
ผมลองสำรวจรอบๆ ดูก่อนว่าตัวเองทำอะไรผิดปกติหรือไม่
ก่อนที่จะเดินไปที่อาคารเรียนของผมเพื่อไปที่ห้อง
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก
ตอนนี้เวลา 7.45 น. ผมนั้นเองกำลังเดินอยู่ตรงทางเดินของชั้น
2 บริเวณอาคารอาณาเขตของห้อง 2 ที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้เบื้องต้นซึ่งอยู่ทางซีกซ้ายของโรงเรียนประมาณ
1 ตึก จำนวน 6 ชั้น เลยทีเดียว ผมเดินตรงไปทางห้องเรียนของผมที่อยู่สุดทางเดิน
ที่เหลือที่ผมเดินผ่านมานั้นเป็นห้องฝึกที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และห้องพักครูซึ่งมีคุณครูประจำชั้นของห้องผมอาศัยนอนพัก
ความจริงวันนี้ผมต้องมาเช้ากว่านี้เพราะวันนี้มีธุระจำเป็นที่ต้องสะสาง อะไรนะเหรอ
ก็สายโทรศัพท์ปริศนาที่โทรมาเมื่อวานนะสิ ทำเอาผมต้องมาเช้าเพื่อเคลียร์
“ สวัสดีค่ะ คะ...คือว่า
นี่ใช้เบอร์ของคุณเรนดร้อปใช้ไหมค่ะ คะ...คือว่า ฉันมิ้งค่ะ มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะค่ะ
” เสียงที่ดูสั่นๆ โทรมาหาผมกลางดึก
ทำให้ผมรู้ทันทีว่าเป็นใครที่โทรมา
“ คร้าบ เรนดร้อปพูดอยู่
มีอะไรล่ะมิ้ง ทำไมถึงโทรมาหาฉันดึกดื่นขนาดนี้ล่ะ ” ตอนนั้นผมกำลังเล่นคอมพิวเตอร์อย่างเมามัน
สายโทรศัพท์สายนี้จากมิ้งเพื่อนหญิงแสนสนิทของผมก็โทรมา
“ คุณอนันต์ !! พรุ่งนี้มาให้เช้าล่ะนะค่ะ เราต้องมีเรื่องมาคุยกันค่ะ
ถ้ามาสายแม้แต่นิดเดียวรับรองจะเสียใจค่ะ ”
“ ตู้ด !! ตู้ด
!! ขอโทษค่ะ เลขหมายปลายทางนี่ได้วางสายไปแล้วกรุณาวางโทรศัพท์ของคุณเพื่อไม่ให้เปลืองแบตเตอรี่ด้วยค่ะ
” เสียงจากสายโทรศัพท์ดังได้สักพักก็ดับลงปล่อยให้ผมจมปลักกับความงุนงง
ในความเป็นจริงนั้นการที่นักเรียนมาโรงเรียนค่อนข้างเช้านั้น
มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในโทรศัพท์เมื่อคืนกับธุระพันล้านเลย
ส่วนใหญ่มักจะมีเหตุผลที่สำคัญอยู่นั้นก็คือ การมาทำการบ้านตอนช่วงเช้า
การบ้านเป็นสิ่งที่ต้องทำที่บ้านแต่ในบางครั้งนั้นเราเองก็ไม่สามารถทำมันได้เหมือนกัน
เราจึงแก้ปัญหาด้วยการมาขอคำปรึกษาจากเพื่อนที่โรงเรียนที่บางคนอาจจะทำได้ไม่ได้ว่ากันไป
หรือ สิ้นสุดความพยายามด้วยการลอกของคนที่ทำได้นั้นเอง คิดดูเอานะว่าจริงรึป่าว ลองสมมติว่ามีเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วที่ผ่านมา
“ แฮก แฮก (เอฟเฟคเสียงแสดงอาการเหนื่อย)
การบ้าน 150 หน้าของอาจารย์อาร์ซิลเลียนเสร็จสักที ” ผมเหนื่อยทรุดตัวลงกับโต๊ะราวกับพึ่งกลับจากสนามรบที่แสนทรหด
“ นี่ !! ตกลงการบ้านหมดแล้วใช้ไหม
พี่ ? ” ผมหันไปถามรุ่นพี่ที่นั่งข้างหลังฟังเพลงจากหูฟังอย่างสบายอารมณ์
“ หา !! ” ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยได้ยิน “
แกพูดว่าอะไรนะ น้องอนันต์ !! ” พี่เขาตะโกนถามผมในขณะที่เขากำลังโยกตัวไปมาตามจังหวะของเสียงเพลงในหูฟัง
“ ผมถามว่า การบ้านเนี่ยหมดแล้วใช้ไหม
ไม่มีวิชาอื่นแล้วใช้ไหมพี่ ? ” ผมตะโกนตอบ
“ หา !! ” มันไม่ได้ยินอีกแล้ว “
ถามอะไรของน้องอ่ะ ? พี่ไม่ค่อยได้ยินที่น้องพูดเลย ”
เขาตะโกนถาม ผมเห็นดังนั้นก็เริ่มรำคาญ จากนั้นผมก็เอื้อมมือไปหยิบหูฟังออกจากหูของเขา
“ พี่จะใส่ทำไม !!! ” ผมตะโกนใส่มันเต็มๆ จนทำให้รุ่นพี่คนนี้สะดุ้งตกใจเลย
แล้วเขาก็หยิบหูฟังจากมือของผมที่หยิบมาเมื่อครู่จากหูของเขาเก็บใส่กระเป๋า
และจากนั้นพี่เขาก็นั่งเก็กท่าหันหน้ามาผม กระแอ้มเสียงก่อนที่จะตอบคำถาม
“ อีก 50 หน้าของอาจารย์กอนนะเออ
ทำใจหน่อยไอ้น้อง (ลากเสียงสั้นๆ แสดงอาการกวน) ”
“ หา...? การบ้านที่ไหนอีกล่ะนั้น
ผมว่าเมื่อวานที่ผมจดบันทึกเอาไว้ในหัว มันน่าจะหมดแล้วหนิพี่ ? ”
“ อนันต์ !! แกเนี่ยนะ
แน่ใจได้ยังไงว่าหมด ทำไมไม่จดบันทึกไว้ดีๆ อย่างพี่ล่ะ ”
“ ถามจริง เขามาสั่งตอนไหนห้ะ ?
” ผมถามด้วยอาการที่สงสัยอย่างสุดขีด
“ ก็ตอนก่อนจะกลับบ้าน
แล้วก็...เอ๋ย !! ขอโทษๆ เมื่อวานเขามาสั่งตอนที่น้องกลับไปแล้วนะสิ
ลืมบอกๆ ” เขาขอโทษแก้ตัวเล็กน้อย พร้อมเอามือตบที่ไหล่ของผมเบาๆ
แต่นั้นเป็นความเบาที่ทำให้ไหล่ผมทรุดไปพอสมควร
“ ให้ตายเถอะ !! ” ผมถอนหายใจ
รุ่นพี่คนนี้ที่ผมกำลังคุยอยู่ด้วยมีชื่อว่า
ไลก้า ลีโอชิน หรือชื่อเล่นของเจ้านี่คือ ชิน อายุ 18 ปี แก่โครตๆ
ผู้ซึ่งพลาดการสอบของโรงเรียนมาถึง 2 ครั้ง เพราะ
สอบตกทฤษฎีโฮโลแกรม จนในที่สุดก็สอบติดในครั้งที่ 3 หมอนี่เป็นเพื่อนสนิทคนแรกของผมในโรงเรียนแห่งนี้
ด้วยความที่ผมอายุพอๆ กับเขา ผมจึงไม่เรียกเขาว่าพี่ เดิมทีในตอนแรกที่ผมรู้จักกับเขา
เขาเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างเงียบและสุขุมมาก ผมไม่กล้าเข้าใกล้เขาอยู่เหมือนกัน
แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้วนั้นเขาเป็นคนที่คุยสนุกมากๆ
เป็นคนที่พร้อมที่จะช่วยผมตลอดเวลา เป็นบุรุษที่แสนจะเพอร์เฟคในห้อง
จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นักเรียนหญิงห้องอื่นถึงขนาดมาจีบเลยล่ะ
แต่หมอนี่ก็ปฏิเสธตลอด น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
“ ไม่เป็นไรๆ ทำแปปเดียวก็เสร็จ
แต่คงต้องเหนื่อยหน่อยสินะ ” ผมพูดเสร็จก็ถอนหายใจ
“ ให้ช่วยไหมค่ะ คุณอนันต์ ?
ดูเหมือนคุณจะเหนื่อยมากเลยนะ ลอกของฉันก็ได้ ไหนๆ คุณก็อุตสาห์ช่วยฉันตั้งหลายครั้ง
การบ้านแค่นี้ถ้าทำไม่ได้ลอกไปก่อนก็ได้ค่ะ แล้วไว้เดี่ยวฉันจะสอนให้ทีหลังนะ
”
เพื่อนผู้หญิงที่ทั้งน่ารัก สดใส หุ่นอวบอั่น หน้าตาสะสวย
ชอบช่วยเหลือคนอื่น และยังใจดีราวกับนางฟ้ากำลังประทานพรกับผม ชื่อของเธอคือ
เทอสลี่ มีเดส หรือว่าชื่อเล่นที่เธอชอบให้เพื่อนเรียกคือ มิ้ง อายุ 16 ปี หญิงสาวไฟแรงที่สามารถสอบติดโรงเรียนนี้ได้ภายในครั้งเดียวหลังจากที่เธอจบมัธยมต้นมาหมาดๆ
ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอเป็นคนที่เก่งมากๆ ในห้องนี้ เธอเป็นคนที่นิสัยชอบช่วยคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
เป็นคนที่สวยมาก งามทั้งกาย ทั้งใจเชียวล่ะ
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้สบายมาก
อนันต์ เรนดร้อป ซะอย่าง ” ผมพูดแสดงความเกรงใจตอบเธอ
“ พี่มิ้ง !! พี่อย่าหลงกลตาบ้านั้นเฉียวล่ะ ไม่งั้นพี่จะต้องเสียใจ หนูจะไม่ยอมให้พี่ที่เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของหนูตกนรกไปพร้อมกับตาบ้านี่เด็ดขาด
” ผู้หญิงตัวเล็กๆ เพื่อนอีกคนของมิ้งกระซากแขนดึงตัวเธอออกมา
เพื่อนผู้หญิงของมิ้งคนนี้ที่ทั้งเตี้ย น่าอกแบน
เอาแต่ใจตัวเอง และยังปากไม่ตรงกับใจราวกับนางมารซาตาน มีชื่อว่า คานาลิน เวสแฟร หรือที่ผมและมิ้งมักจะเรียกชื่อสั้นๆ
ของเธอว่า คานะ อายุ 15 ปี จนหลายๆ คนเรียกเธอว่าน้องคานะจัง
เธอเป็นคนที่เรียกว่า อาจจะเก่งที่สุดในห้องนี้เลยก็ได้ แต่เพราะเธอยังขาดประสบการณ์ทำให้เธอยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร
เธอสามารถสอบติดโรงเรียน Destiny ได้ตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมศึกษาปีที่
3 ทำให้หลายๆ คนเกรงกลัวเธอไม่ใช้น้อย เป็นคนที่มีนิสัยตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับมิ้ง
เป็นคนที่มีนิสัยเงียบไม่ค่อยคุยกับใครและคล้ายเด็กอยู่หลายๆ ด้าน
แต่มองเป็นมองมาแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ เสียดายเธอมือหนักไปหน่อย
เธอเลยไม่ได้เพอร์เฟคเท่ากับมิ้ง
“ ทำไมล่ะ น้องคานะจัง ? ก็คุณอนันต์เขากำลังลำบากนะ พี่แค่อยากจะ.....”
“ เชื่อหนูสิ !! ” มิ้งนั้นที่อยากช่วยอยู่แล้วก็ทนความดิ้อดึงของยัยคานะไม่ได้
แถมพอพี่คานะเธอปฏิบัติตามแผนของเธอเสร็จ ก็หันมาแลบลิ้น เย้อยอผมราวกับผมเป็นผู้แพ้เขาอย่างหมดหนทาง
“ วันนี้นายดวงซวยหน่อยนะ อนันต์
” พี่ชินพูดแสดงความยินดีกับผม
“ เออ !! ดีนะที่เป็นแค่วันนี้
จะว่าไปจริงๆ พี่น่าจะช่วยผมหน่อยนะ พี่ชิน สักนิดสักหน่อยก็ยังดี ”
“ เพื่อนที่ดีต้องคอยชี้แนะสิ่งเป็นประโยชน์ให้เว้ย
!! การลอกการบ้านคนอื่นเป็นอะไรที่ไม่ถูก ” เขาส่ายหน้าพยายามเตือนสติผมไม่ให้ทำในสิ่งที่ผิดมหันต์
“ เมื่อวันก่อนพี่ยังลอกการบ้านภาควิชาโฮโลแกรมของผมอยู่เลยนะพี่
”
“ นิดหน่อยน่า !! ถือว่าเป็นหุ้นร่วมด้วยกันไง พี่น้องกันๆ ”
“ โอ้ !!
รักพี่ชายคนนี้ที่สุดในโลกเลย จริงๆ นะ จริ้งๆ ” ผมพูดประชดใส่พี่เขาไปเต็มๆ
ไม่รู้นะว่าพี่ชินมันรู้รึเปล่า เพราะ ปกติพี่คนสนิทคนนี้มักจะมีท่าทางบุคลิกที่เคร่งครึม
ไม่ค่อยได้พูดกับใครมากนักนอกจากผม ไม่รู้วันนี้พี่มันถูกหวยอะไรรึเปล่าถึงคุยกับผมได้ตลกขนาดนี้
เรื่องในวันก่อนๆ ที่ผ่านมาได้ไม่นานนัก
ผมยังจำได้ไม่ลืมทำเอาขนลุกไปครู่หนึ่ง มันไม่ใช้เหตุการณ์สมมติหรอก จริงๆ แล้ว ถ้าจะให้พูดไปก็อาจจะสามารถกล่าวถึงเรื่องราวการมาโรงเรียนตอนเช้าได้มากมายเป็นพันเรื่องไม่ว่าจะเป็นดี
หรือ ร้าย ไม่ได้มีแค่เรื่องนี้หรอก ยกตัวอย่างเหตุการณ์สมมติอีกเหตุการณ์หนึ่ง นั้นคือ
ธรรมเนียมปฏิบัติการเดินเข้าประตูห้องเรียนของผมที่จะต้องโดนลูกเตะบอลโลกของคุณหญิงมิ้งกับยัยคานะถีบเข้ากลางอกทุกวัน
ถามว่าอะไรคือเหตุผลงั้นเหรอคำตอบคือ “ ไม่มี ” สองคนนี้มักจะมะรุมมะตุมผลัดกันเป็นนักมวยเตะกระสอบทรายอยู่เสมอ
ไม่ได้จะคิดไปในแง่ลบหรอกนะว่าทั้งสองอยากแกล้งแต่อย่าว่ากันเลย จากการสังเกตของพี่ชิน
ก็พอจะบอกได้ว่าสองคนกำลังแสดงอาการ “ หมั่นไส้ ” อย่างเห็นได้ชัดเจน น้องสองคนนี้เขาหมั่นไส้ผมอะไรนะเหรอ ก็อย่างเช่นการไปคุยกับรุ่นพี่รุ่นน้องนักเรียนผู้หญิงคนอื่นหรือไม่ก็ทำตัวใจบุญคอยช่วยเหลืออิสตรี
ซึ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้อยากจะทำมากเท่าใดนักหรอก แต่พอสองคนนั้นมาเห็นโดยบังเอิญทีไรก็มักจะเกิดจินตภาพสุดวิเศษว่าผมกำลังทำตัวเป็นพวกกะล่อน
จนเกิดการลงโทษดังกล่าวขึ้นมาเป็นประจำทุกวัน ช่างเถอะ !!
มันเป็นการยกตัวอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้องมากนัก แต่ใช้ว่าทุกอย่างต้องมาลงเอยด้วยการลอกการบ้านในตอนเช้า
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ใช้พวกที่มีวิสัยแบบนั้น
“ เห้ย !! ตาพี่บอสซุนไหนบอกว่าเมื่อวาน ไม่มีการบ้านไงเล่า ไหงผมทำไมไม่ทำอยู่คนเดียวในห้องล่ะเนี่ย
ห้า ! ” โป้ะ !! สันหนังสือเรียนหนาประมาณ
300 หน้าเศษ กระแทกใส่ศีรษะผู้พูดอย่างจัง
“
ใจเย็นน้องชาย วันนี้น่ะพี่ชายคนนี้ได้หาทางสว่างไว้ช่วยเหลือน้องรักของพี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
”
“ จะ...จริงหรอครับ
พี่หัวหน้าสุดหล้อจ้า ”
“ จริงสิจ้ะ
แม่หนูน้อย เทอรี่-จัง ”
“ สุดยอดเลย ในที่สุด
ผมก็รอดจากเงื้อมมือของ อาจารย์ อาร์ซิลเลียนแล้ว อุตสาห์นั่งกลัดกลุ้มทั้งคืนในที่สุด
พี่ชาย !! หัวหน้าที่ประเสริฐที่สุดใน 3 โลกอย่าง ชางอัน ซุนเหลียง ผู้นี้ ”
“ เจ้าชมเกินไปแล้วทาสผู้ซื่อสัตย์ของข้า
” เขาอายอยู่สักพักก็ยืดอกขึ้น
“ ถ้างั้น เอาการบ้านมาดูเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา นะๆ
พี่หัวหน้าจ๋า ” เขาคุกเข่าวิงวอน
“ หา...? การบ้านหรอ...? อุ้ยตายแล้ว !! พี่เผลอส่งไปแล้วอ่ะสิน้องชาย ” เขาหันมาตอบพร้อมกับทำหน้ายียวนกวนประสาทใส่และแลบลิ้นแสดงอาการเย้ยหยัน
“ แกว่าไงน้า !!
” เทอรี่พูดเสร็จไม่ถึงนาทีเขาก็รับชักดาบยาวพอประมาณที่เหน็บอยู่ข้างเอว
ชี้ไปที่ผู้ตอบอย่างไม่หลังเลใจ
“ โถ่ๆ แหม่น้องเทอรี่ก็
พี่ล้อเล่นน่า จริงๆ แล้วพี่แค่อยากจะแกล้งน้องเล่นเฉยๆ เอง เอาน่า !! สีสันยามเช้านะจ้ะ ” เขายิ้มให้ด้วยไมตรีที่แสนอ่อนหวานเต็มประด้วยมิตรภาพ
“ นี่ !! อย่าว่ากันเลยนะพี่ แต่ว่า มีสีสันแบบนี้บ่อยๆ มันก็ไม่ดีนะ ” เทอรี่เก็บดาบเข้าตามเดิม
ปกติชีวิตประจำวันในโรงเรียนนี้ของผมนั้นก็ไม่ได้สนุกมากเท่าใดนัก
ตอนนี้ผมได้เดินมาถึงห้อง 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยอาการหอบเหนื่อย
เพราะ ผมเป็นคนที่เดินหรือวิ่งมากไม่ค่อยได้มันจะเหนื่อยแปลกๆ
อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของความสามารถของผมเองที่.... เดี่ยวค่อยว่าทีหลัง
เอาเป็นว่าวันนี้เดินเข้ามาในห้องไม่ทันไร ก็เจอเหตุการณ์สมมติเมื่อครู่ทันที
ซึ่งเป็นละครตลกสีสันประจำวันทุกเช้าของห้องนี้ สองคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นของผม พี่คนหนึ่งที่ถูกเรียกเป็นฉายานามว่า
“ หัวหน้า ” นั้นมีชื่อเล่นว่า ใบซุน
หรือชื่อจริงของเขาคือ ชางอัน ซุนเหลียง อายุ 17 ปีเท่ากับผมแต่เกิดก่อนผมประมาณ
6 เดือนผมจึงยอมเรียกเขาว่าพี่เพี่อความสนิทสนม
แต่วันไหนที่พี่มันทำตัวน่าหมั่นไส้ ผู้ที่มาสอบติดโรงเรียน Destiny ได้ในครั้งที่ 2 คนในห้องมักจะเรียกเขาว่า “ บอสซุน ” นั้นแหละ “ บอส
” คำนี้มันมาจากคำภาษาอังกฤษที่แปลตามปกติว่า หัวหน้า
คนในห้องนำมาผสมปนเปกับชื่อเล่นจริงๆ ของเขา จนกลายเป็นบอสซุนนั้นแหละ บอสซุนนั้นปกติเขาเป็นคนที่มีภาวะความเป็นผู้นำที่สูงมาก
งานในห้องส่วนใหญ่เขาจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการปฏิบัติงานแต่ล่ะครั้ง เขาเป็นบุคคลที่ชอบในคำเยินยอสรรเสริญเป็นอย่างมาก
ถ้าใครชมเขาหน่อยนะ เขาจะบิดอายราวกับ เด็กได้รับคำชมจากพ่อแม่ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ให้ความเคารพเขามากเช่นเดียวกันกับหลายๆ
คนในห้อง 2 นี้เลยล่ะ
ส่วนอีกคนที่นั่งหงอเป็นตุ๊ดอยู่นั้น มีชื่อว่า
เทอรี่ หรือชื่อจริงคือ เทอรี่ ท้อด น้องเล็กอายุ 16 ปี ผู้ที่สอบติดโรงเรียน Destiny
ได้ภายในครั้งแรกเช่นเดียวกับมิ้งและคานะ เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ
นี่แหละครับ แต่เขาก็เป็นคนที่รื่นเริงนิดหนึ่ง เริ่มแรกเดิมทีเขาก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกที่ผมพบเขาหรอก
ในตอนนั้นเขาเป็นคนที่ค่อนข้างยิ่งทะนงในเรื่องของความสามารถ เพราะเขาเป็นคนที่เก่งกาจ
และเก่งตามที่มันยิ่งจริงๆ แม้กระทั้งตอนสอบเข้ามาเขายังได้อยู่ในลำดับต้นๆ เขาเคยแสดงความสามารถของเขาครั้งหนึ่งท่ามกลางเพื่อนๆ
ในห้องเป็นที่ตื่นตะลึงจนขนาดเราทั้งหมดในห้องต้องยอมเขา เขาเลยคิดว่าคนทั้งห้องต้องยอมแพ้เขา แต่สุดท้ายมนก็โดนพี่ชินของผมสั่งสอนไปจนเขาก็ให้ความร่วมมือกับเราและปรับปรุงนิสัยของเขาเองเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
เขานั้นต่อให้เก่งขนาดสามารถไถ่เงินเพื่อนในห้องได้ง่ายๆ
เขาก็ไม่ค่อยมายุ่งวุ่นวายกับคนขี้เกียจอย่างผมมากหนัก อาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นเพื่อนสนิทพี่ชินละมั้งนะ
ถามว่า 2 คนนี้มีปมอะไรกันนะเหรอ ก็อย่างว่า พี่ชินเคยเอาชนะหมอนี้อย่างราบคาบมาก่อน
แต่เห็นพี่เขาบอกกับผมเสมอๆ เวลาคุยถึงเรื่องนี้ตลอดว่า มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอย่างไร
กลับกลายเป็นผลประโยชน์ของทุกคนซะงั้น หมอนั้นกลายเป็นคนที่มีนิสัยหลังมือเป็นหน้ามือ
เขามีนิสัยที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนทุกคนในห้องเลิกที่จะมีมานะทิฐิกับเขา และเพราะเรื่องนี้เองก็ส่งผลให้ตั้งแต่นั้นมา
พี่ชินก็เลยกลายเป็นอันดับหนึ่งของห้องไปโดยบังเอิญ โดยมีไอ้เทอรี่คอยติดตามเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างหลังเสมอๆ
หลังจากเหตุการณ์สมมติเมื่อครู่จบลงและผ่านไปด้วยดี
ผมตรงไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างที่เดิมของผมอย่างสบายใจ
น่าแปลกที่วันนี้ผมยังไม่เจอลูกเตะของแม่สองคนนั้น รู้สึกแม่สองสาวนั้นอาจจะมาสายเนื่องจากวันนี้รู้สึกสองคนนั้นมีนัดไปช่วยอาจารย์ที่ไหนไม่รู้
ทำอะไรสักอย่างนี้แหละ เขาบอกผมมาแล้วและผมก็ลืมไปแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าจำวันผิดรึป่าวแต่จะว่าไปก็น่าตลกอยู่พอตัวนะที่คนนัด
“ มิ้ง ” นั้นมาสายกว่าทั้งทีตัวเองย้ำนักย้ำหนาในโทรศัพท์เมื่อวานให้ผมรีบมาเช้า ช่างเถอะๆ
ดีแล้วๆ สงบๆ แบบนี้ดีแล้ว ผมจะได้งีบหลับสักหน่อยพอเป็นพิธีก่อนเข้าคาบเรียนแรก
“ นี่ๆ น้องอนันต์คับ
น้องทำการบ้านมารึยังอ่ะ ” พี่ชินสะกิดผมจากด้านหลังที่กำลังจะฟุ่บลงไป
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมจึงต้องหันไปโต้ตอบกับเขา
“ อะไรเนี่ย !!
ถามผมแต่เช้าเลยนะพี่ ทำไมล่ะ !! จะขอลอกงั้นเหรอ
ที่ 1 ตลอดกาลอย่างไลก้า ลีโอชิน ยังขอลอกการบ้านผมเหรอเนี่ย
!! ” พี่เขานิ่งไปสักพักหลังจากผมพูดประชดไปอย่างแรงเมื่อครู่
ไม่นานหนักน้ำตาพี่เขาก็ไหลปริ่มๆ
“ แกพูดอะไรอย่างนั้นห้ะ
!! แกก็รู้ !! พี่ขอลอกแกอยู่วิชาเดียว
นั้นคือ... ”
“ เออผมล้อเล่นๆ
เอาไปเถอะ วิชาโฮโลแกรมผมเสร็จนานแล้ว ”
“ แต้งกิ้วนะอนันต์ !!
เอาเป็นว่าเดี่ยววันนี้ พี่พาไปเลี้ยงขนม ” พี่ชินพูดแล้วยิ้มด้วยอาการกวนๆ
เหมือนอาแปะกำลังจะหลอกเด็กขายขนม
“ ตลกนะพี่ รีบๆ
ลอกไปเลย เดี่ยวหมดโปรโมชั่น ” ผมชี้ไปที่การบ้านที่พี่เขากำลังจะลอกด้วยอาการโมโหเล็กน้อย
“ ล้อเล่นน่าไอ้น้องรัก
งั้นเดี่ยวเย็นนี้พี่พาไปเลี้ยงข้าวก็แล้วกัน ตรงตลาดใหญ่ข้างๆ โรงเรียนเนี่ย
ไปกันไหม ? ” พี่ชินขอโทษก่อนที่จะออกอาการชวนผม
โดยยื่นมือทั้งสองข้างมาแตะไหลของผม
“ เห้ย !! ตรงนั้นอีกแล้วหรอพี่ ? ” ผมเกิดอาการสดุ้ง
ตกใจเล็กน้อย
“ เออ !! แถวนั้นเส้นพี่มีเยอะ นักรบพลัง Will อย่างพี่
ช่วยคนแถวนั้นบ่อยไม่มีปัญหา กินฟรียังได้เลย ”
“ พี่กินฟรี แต่ผมจ่าย
ใช้ไหมล่ะ ? รีบๆ ลอกเลยนะเดี่ยวจะเอาคืนแล้ว ผมหมั่นไส้สุภาพบุรุษ
” พี่ชินพูดยังไม่ทันจะจบผมก็รีบตอบสวนไปทันที โดยชักสีหน้าที่จงใจจะบอกให้พี่เขารู้ว่า
ตอนนี้กำลังผมหัวเสียจากคำพูดของพี่เขาอยู่
“ โอเคๆ
รีบทำงานดีกว่าเนอะ จะได้ทำอย่างอื่นที่เป็นแก่นสารของชีวิต ”
“ พึ่งรู้เหรอพี่ !! ” พี่ชินแอบหัวเราะนิดเมื่อได้ยิน พอพูดจบผมก็ไม่ได้สวนอะไรกลับไป พี่เขาก็นั่งลอกการบ้านของผมต่อไปอย่างเงียบ
ส่วนผมก็นั่งชมนกชมกานอกหน้าต่างและในห้องไป
“ พี่ชินจัง
วันนี้เรากลับบ้านด้วยกันอีกได้ไหม พอดีว่าวันนี้หนูลืมเอากระเป๋าเงินมานะสิ
กะไว้ว่าจะขอยืมเงินไปซื้อขนมที่พี่ชายเขาฝากไว้ด้วยอ่ะ ยังไงเดี่ยวหนูคืนให้แน่
สัญญาๆ แหะๆ ”
เสียงแหลมๆ อันนี้เป็นของอาริน หรือชื่อจริงๆ
ของเธอคือ อาริน อาชิตะ อายุ 15 ปี สาวแว่นจอมเปิ่นประจำห้อง ผู้ที่เก่งพอๆ
กับคานะแต่คนละด้านกัน อารินเก่งในเรื่องของการประดิษฐ์มากๆ
จนได้โควตาคะแนนพิเศษตอนสอบเข้า ส่วนคานะเขาเก่งเรื่องการใช้กำลัง
อารินเป็นคนที่นิสัยดี น่ารักสดใสในแบบของเด็กๆ จนบางดูอ่อนแอและซุ่มซ่าม
เธอเป็นน้องเล็กที่ใครในห้องต่างก็ห่วงใย เพราะ เธอจิตใจไม่ได้เข้มแข็งหรือร่างกายไม่ได้แข็งแกร่งพอๆ
กับยัยถึกคานาลิน น้องอารินคนที่จึงเป็นเสมือนกำลังใจเล็กๆ
สำหรับพวกเราเวลาโดนอาจารย์อาร์ซิลเลียนด่าในห้อง
“ อ้าวทำไมเป็นยังงั้นล่ะ
คุณป้าอาริน โธ่เอ๋ย !! เธอเนี่ยนะทำไมไม่รู้จักตรวจข้าวของก่อนจากบ้านบ้าง
ดีนะที่ลืมแค่กระเป๋าเงินไว้ที่บ้าน
นี่ถ้าเกิดลืมใส่เสื้อผ้ามาโรงเรียนจะทำยังไงห้า !! ” พี่ชินวางปากกาลงแล้วพูดขึ้นเสียงสูง
“ ถ้างั้นก็แย่นะสิ
มีหวังคนแถวนั้นหาว่าหนูเป็นคนบ้าแน่ๆ เลย ”
“ ฉันประชด แม่คุณ !!
” และแล้วในที่สุดสองคนนี้ก็ยืนโต้วาทีเสียงดังอยู่ข้างหลังผมต่อไป ผมเคยได้ยินมาว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนในตอนสมัยเป็นเด็กด้วยกัน
ดูเหมือนมิ้งจะเคยกระซิบกระซาบให้ฟังว่า น้องอารินคนนี้นั้นแอบมีความรู้สึกห่วงใยให้กับพี่ชินอยู่เสมอ
ราวกับว่า เธอกำลังแอบชอบเจ้าพี่ชายคนนี้อยู่ แต่มันเป็นเรื่องที่ผมไม่อาจจะเชื่อได้อยู่ดี
เพราะ เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ...
ตูม !! เสียงระเบิดดังมาจากข้างหลังของผม
“ พี่ชินจังนะบ้าที่สุด แค่นี้ไม่เห็นต้องโกรธกันเลยนี่น่า
ใจเย็นหน่อยสิ พี่อ่ะเป็นอย่างงี้ตลอดเลย บ้าที่สุด ”
หุ่นยุ่นตัวจิ๋วพลังทำลายล้างสูงที่แม่น้องแว่นอารินประดิษฐ์ขึ้นมากำลังตะบี้ตะบันฟัดเวี่ยงอยู่กับเจ้าชินอย่างเมามันโดยพี่เขาทำอะไรไม่ได้
ถ้าขืนโต้ตอบเมื่อไหรพี่แกอ่วมแน่ๆ บางครั้งผมที่เป็นเพื่อนสนิทของพี่เขาก็อยากไปห้ามน้องอารินคนนี้บ้างว่า
น่าจะเบามือหน่อย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะนี้คือ
เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำหลังจากการสนทนาระหว่าง 2 คนนี้
จบตอนที่ 1 ติดตามต่อตอนที่ 2 ได้เร็วๆ นี้ นะจ้ะ ^0^
ที่เว็บไซต์นี้ที่เดียวเท่านั้น