- Back to Home »
- Destiny R. Episode 1 : วันวุ่นวายหลังจากสองสัปดาห์แรก
Posted by : Unknown
Jul 1, 2013
เป็นอย่างที่ทราบกันดีว่าชีวิตในช่วงวัยเรียนวัยรุ่นเป็นช่วงชีวิตที่สนุกสนาน
รื่นเริง และเต็มไปด้วยความทรงจำอันแสนประทับใจ
ชีวิตมันมีกันหลายแบบไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่ยากลำบาก ชีวิตที่ต่อสู้ดิ้นรน
ชีวิตที่สนุกสนาน สิ่งเหล่านี้เราสามารถพบเจอได้ในชีวิตวัยรุ่นทั่วไปอย่างเราก่อนที่จะต้องเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่
ผมเคยมีชีวิตในช่วงวัยรุ่นที่พบเจอทั้งเรื่องที่เลวร้ายที่สุด และยอดเยี่ยมที่สุด
แต่ว่าในตอนนั้นผมยังคงรู้สึกว่าชีวิตไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย
โชคชะตาที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม วนเวียนต่อไปไม่มีที่สิ้นสุดเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถยอมรับได้
ผมพยายามทุกวิถีทาง ทุกอย่างที่จะเปลี่ยนโชคชะตาตัวเอง ค้นหาตัวตนที่แท้จริง
และเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อสิ่งดีๆ ในอนาคต หนทางที่ยากลำบาก ความสุขในช่วงเวลา 5 ปีที่แสนสั้นทำให้ผมรู้ว่า
ชีวิตไม่สามารถย้ำอยู่ที่เดิมจนไปถึงวันตายได้
เราไม่สามารถปฏิเสธตัวตนที่แท้จริงของตนเอง เราต้องอยู่กับตัวเรา
วัยรุ่นผู้อยู่อย่างโดดเดี่ยว จนกระทั้งเติบโตเป็นผู้ใหญ่
แต่แล้วความคิดนี้อยู่กับผมได้ไม่นานนักหลังจากที่ผมสามารถสอบเข้าโรงเรียนแห่งหนึ่งอย่างยากลำบากที่มีชื่อว่า
เดสตินี่ ได้
“ ตี้ดๆ !! ติ้ดๆ
!! ขณะนี้เวลา 7 นาฬิกา 0 นาที 0 วินาที 0 เศษวินาที 0
ของเศษวินาที 0 ของเศษของเศษวินาที 0 ของเศษของเศษของเศษวินาที...” เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังในเช้า
เป็นอะไรที่กวนประสาทผมในตอนอรุณเบิกฟ้ามาก จริงๆ ผมก็ตื่นแบบธรรมดาได้ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อวานจะตั้งปลุกไว้เพื่ออะไร
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“ อะไรของเราว่ะเนี่ย
นี่เผลอตั้งนาฬิกาปลุกปัญญาอ่อนนี่อีกแล้วเรอะ !! ” ผมพูดด้วยอาการที่งัวเงียเนื่องจากพึ่งตื่นนอนพร้อมกับปิดนาฬิกาที่ร้องถึงเศษวินาทีไม่หยุด
“ ช่างเถอะ กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย
สงสัยแค่ 6 โมงเช้าล่ะมั้ง ไม่น่าจะสายถึงขนาดต้องตั้งนาฬิกาปลุกหรอก
” ผมบ่นพึมพำ เกาหัวเล็กน้อยก่อนที่จะลุกไปอาบน้ำ
“ เอ๋ะเดี่ยวก่อน !!
ถ้านี่ 6 โมงเช้า แล้วเมื่อกี้นาฬิกาทำไมพูด 7
โมงเช้าล่ะเนี่ย ” อาการมึนที่เกิดขึ้นในหัวสมองเริ่มพุดขึ้น
ไม่ช้าผมก็เดินไปหยิบนาฬิกาปลุกตัวนั้นที่วางอยู่ตรงหัวเตียงของผม
“ เวรล่ะ !! ว่าแล้วเชียว ”
ผมเมื่อดูนาฬิกาตัวนี้เสร็จปับก็ต้องรีบทำภารกิจส่วนตัวอย่างเร่งรีบ ก่อนที่จะหยิบรองเท้าหน้าบ้าน
รีบวิ่งออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นรถประจำทางหน้าหมู่บ้านนั้นแหละ ระหว่างทางที่วิ่งมาผมนึกได้อย่างหนึ่ง
จึงหยุดวิ่งแล้วก้มดูลงพื้น
“
แล้วเราเป็นอะไรล่ะเนี่ย !! วิ่งมาตั้งนานไม่ได้ใส่รองเท้าซะงั้น
” นึกขึ้นได้อย่างนั้น ผมจึงก้มใส่รองเท้าแล้ววิ่งต่อ
“ ซวย ซวย ซวย !!
ไม่น่าตื่นสายเลยเรา อย่างนี่ก็ไม่ได้ทำการบ้านตอนเช้าพอดีสิ
บ้าเอ๋ย !! ” ผมวิ่งบ่นไปตามประสาของคนที่หัวเสีย
จนในที่สุดก็วิ่งจนถึงหน้าหมู่บ้าน โชคดีที่รถประจำทางมาพอดีผมจึงรีบกระโดดขึ้นไปโดยไม่เกรงใจ
โชคดีที่แถวนี้ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่เยอะรถจึงว่าง ผมเลือกที่นั่งอยู่สักพักจนได้ที่ริมหน้าต่างข้างหน้าใกล้คนขับ
ระหว่างการเดินทางก็พักเหนื่อยจากการวิ่งแล้วมองชมวิวที่อยู่ข้างนอกหน้าต่าง
“ ดีนะเนี่ยที่รถมาทัน
ไม่งั้นมีหวังวันนี้คงเครียดแน่ๆ ”
บ่นไปพร้อมกับหัวเราะกับตัวเองเล็กน้อย
โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตตัวเมืองที่ทันสมัยในทุกๆ
ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้าที่โด่งดัง หอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง หรือ
แม้แต่สวนสาธารณะที่มีคนแวะเวียนไม่ต่ำกว่าพันคนในทุกๆ วัน ซึ่งนั้นทำให้ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจสำหรับผมมากจนถึงมากที่สุด
โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่โด่งดังมากๆ แถบจะไม่เคยมีชื่อเสียงในทางที่เสื่อมเสียเลยสักนิดเดียว
แต่สุดท้ายแล้วนั้นคงไม่ใช้เหตุผลที่ว่าทำไมตอนนี้โรงเรียนนี่นั้นถึงอยากมีคนเข้าเรียนมากนัก
อาจจะเป็นเพราะว่า หลายคนคงเบื่อที่การจะใช้ชีวิตการเรียนในโรงเรียนเดิมๆ
ของตนที่อาจจะมีแต่เรื่องซ่ำซาก จำเจ น่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าโรงเรียนนี้
หรือ ไม่ก็อาจจะเป็นเพราะว่า โรงเรียนที่ผมเข้าศึกษาอยู่ในขณะนี้ไม่ใช้โรงเรียนธรรมดาๆ
ในความคิดของใครหลายๆ คนนี้นะสิ
โรงเรียนนี้มีชื่อว่า
โรงเรียน Destiny
( เดสตินี่ ) เป็นโรงเรียนที่ไม่ปกติกว่าโรงเรียนอื่น
เพราะว่า โรงเรียนนี้รับแต่คนที่มีพลังวิเศษ พลังแห่งการต่อสู้ ช่วยเหลือ ปกป้อง
และ สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ โดยใช้ศาสตร์ของพลังมหัศจรรย์ที่มีลักษณะเป็นคลื่นแฝงอยู่ในร่างกายของคนทั่วไปเรียกกันว่า
“ โฮโลแกรม ” นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผู้ที่มีความสามารถในเชิงการช่าง
หุ่นยนต์ หรือ มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเฉพาะทางที่โรงเรียนต้องการ ยกตัวอย่างเช่น
ความสามารถในด้านงานครัว ความสามารถในการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรมก็สามารถเข้าโรงเรียนนี้ได้
แต่ยังคงต้องผ่านการสอบคัดเลือกอยู่ดี อาจจะฟังดูเวอร์ๆ แต่สิ่งที่ผมว่ามานี้มันคือ
เรื่องจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกของผมเอง ในทุกๆ 2 ปีจะมีคนพยายามอย่างสุดฝีไม้ลายมือ
พยายามจนเลือดตาแทบกระเด็น เพื่อสอบเข้าโรงเรียนนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน ทั้งที่โรงเรียนนี้รับจำนวนนักเรียนเพียงแค่น้อยนิดไม่เกิน 250 คน โอกาสมีเพียง 1 ใน 40 เท่านั้นที่จะสอบเข้าโรงเรียนนี้ได้
ซึ่งบางคนอาจจะคิดไปเลยว่า มันไม่คุ้มค่าที่จะมาเสี่ยงหรือเสียเวลา แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีคนหลายคนที่ยังอยากจะเข้าโรงเรียนนี้อยู่ดี
เพราะโรงเรียนนี้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ โรงเรียนเปลี่ยนโชคชะตา ”
ของผู้ที่เข้าเรียนอยู่ที่นี้ไงล่ะ เจ่งไปเลยว่าไหม
“ นี่เธอวันนี้หลังจากเลิกเรียนแล้ว
ไปที่ไหนกันต่อดีอ่ะ ห้องสมุด หรือว่า สวนข้างโรงเรียนดีอ่ะ ”
“ ฉันว่านะ ไปร้านอาหารหน้าโรงเรียนดีกว่า
รู้สึกว่าวันนี้จะมีเมนูใหม่ด้วยนะ !! ”
“ เอ๋ !! งั้นเหรอ ดีล่ะ !! งั้นวันนี้ไปกันดีกว่าเนอะ
” งั้นวันนี้ผมคงไม่ไปดีกว่า
นักเรียนผู้หญิงสองคนที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับผมกำลังนั่งคุยอย่างเมามันส์ข้างหลังที่นั่งของผม
แต่ก็ว่าล่ะนะร้านอาหารของเพื่อนผมที่สองคนนั้นพูดน่ะน่าไปจริง ยัยชาร์เพื่อนที่ห้องของผมซึ่งเป็นเจ้าของร้านยังชวนผมอยู่เลย
ผมเข้าเรียนที่นี้ได้ประมาณ
2 สัปดาห์แล้ว
ในขณะนี้เองผมก็ยังคงคิดอยู่เลยว่ามันเป็นเพราะความบังเอิญที่สามารถสอบติดโรงเรียนนี้ได้ภายในการสอบครั้งแรก
ซึ่งปกติมีเพียงน้อยคนที่มีโอกาสโชคดีเช่นนี้
เนื่องจากส่วนใหญ่เขาจะสอบไม่ติดในรอบแรกกัน บางคนยอมมาสอบใหม่ใน 2 ปีถัดมาโดยต้องยอมเรียนในโรงเรียนธรรมดาไปก่อนระหว่างนั้น
ในตอนแรกผมคิดว่า ที่นี้น่าจะเป็นโรงเรียนที่มีแต่คนที่หยิ่งทะนงในความสามารถ
หรือไม่ก็ดูถูกผมที่ว่า ผมดูเหมือนเป็นคนที่ไม่มีอะไรวิเศษกว่าที่คนอื่นในโรงเรียนเป็นอยู่
ไม่หรอกผมก็มีสิ่งเหล่านั้นเหมือนที่พวกนั้นมีเหมือนกัน เพียงแต่ว่าสำหรับผมแล้วในตอนนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องโชว์ให้คนอื่นเห็นมากกว่า
อีกอย่างในการใช้มันแต่ล่ะครั้งเป็นอะไรที่เหนื่อยมากเลยนะก็เลยไม่ใช้ ปล่อยไว้อย่างงั้นแหละ
แต่ผมคิดว่าต่อให้เอาออกมาใช้มันก็คงไม่เลิศเลออลังการเหมือนของคนอื่นเขาแน่นอน
ช่างเถอะ !! แต่ท้ายที่สุดแล้ว เวลาที่ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ความคิดไร้สาระพวกนั้นก็กลายเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยทีเดียว
เพราะ มันไม่ใช้ทุกอย่างที่ผมคิดเลยนะสิ ทุกสิ่งทุกอย่างในโรงเรียนโรงเรียนเดสตินี่แห่งนี้กลับกลายเป็นตรงกันข้ามกับความคิดของผมก่อนที่จะเข้าโรงเรียนนี้เมื่อ
2 สัปดาห์ก่อน หลายคนอาจจะคิดว่า
โรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงตอนสอบเข้าจะเป็นโรงเรียนในแบบที่เอ่ยไว้ในความคิดของผมข้างต้น
ใช้ไหม ? ไม่หรอกทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุผลในตัวเอง
“ อีก 1 ชั่วโมงโรงเรียนจะทำการเข้าเรียนคาบแรกเวลา 8.30 น.
ขอให้นักเรียนทุกคนรีบเร่งมาด่วน ทำทุกวิถีทางที่จะมาให้เร็วที่สุด ก่อนที่งานจะเข้านะจ้ะ
!! ประกาศไว้ ณ. เวลา 7.30 น. โรงเรียนโรงเรียนเดสตินี่
ผ่านนาฬิกาดิจิทัลข้อมือส่วนบุคคล ” นาฬิกาข้อมือข้างขวาของผมที่ทางโรงเรียนแจกให้นักเรียนที่เข้าเรียนทุกคนร้องเตือนพร้อมกับสั่น
ว่าแล้วคงต้องรีบหน่อย เพราะวันนี้ผมมีธุระกับเพื่อนที่ห้อง แม้นาฬิกาจะดังแต่ผู้หญิงสองคนที่คุยกันอยู่ก็ยังคุยกันต่อไปไม่ได้สนใจคำร้องเตือนที่ร้องจากนาฬิกาแต่อย่างใด
ในโรงเรียนนี้เปิดสอนด้วยกัน
3 ชั้นปี แบ่งเป็นปี 4 ปี 5 และปี 6 ใช้เวลาเรียนชั้นละ
2 ปีรวมการเรียนทั้งสิ้นในโรงเรียน Destiny ทั้งหมด 6 ปี ในแต่ล่ะปีก็จะมีด้วยกัน 6 ชั้นเรียน ซึ่งแต่ล่ะห้องก็จะมีความโดดเด่นแตกต่างกันไป ไม่มีห้องไหนเก่งที่สุด
ซึ่งนักเรียนที่จะได้ไปประจำ ณ ห้องนั้นๆ
มาจากการคัดเลือกของเหล่าคณาจารย์เป็นรายบุคคล ด้วยผลคะแนนสอบและผลประเมินจากการสอบสัมภาษณ์
ด้วยเหตุที่ว่าจำนวนนักเรียนที่รับนั้นมีค่อนข้างน้อยไม่ถึง 250 คนในแต่ล่ะชั้นปี
จึงทำให้การดำเนินการของทางโรงเรียนนี้เป็นไปด้วยความรวดเร็วทั้งที่ในโรงเรียนนี้มีคุณครูไม่ถึง
30 คนและในโรงเรียนมีแต่รักษาการผู้อำนวยการทำหน้าที่อยู่เท่านั้น
แถบไม่มีใครในโรงเรียนนี้รู้เลยว่า ผู้อำนวยการนั้นตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงานของทางโรงเรียนเลยต่อให้ไม่มีผู้อำนวยการอยู่ก็เถอะ
ว่ากันว่าผู้อำนวยการคนนี้เป็นผู้หญิงนะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นความจริงรึป่าว เพราะ แถบจะไม่มีใครเคยเห็นหน้าท่านเลยน่ะสิ
ในที่สุดผมก็ลงจากรถประจำทางซึ่งมาจอดตรงข้ามหน้าโรงเรียน
ซึ่งนับจากตรงนี้ผมต้องวิ่งยาวไปขึ้นสะพานลอยที่อยู่ไกลมากเพื่อข้ามไป
“ เอาล่ะ
เตรียมพร้อมที่จะวิ่งแล้ว ส่งสัยคงต้องหอบกินแน่ๆ เลย บ้าเอ๋ย!! ” บ่นเสร็จผมก็วิ่งไปอย่างไม่รอช้า โดยไม่สนเลยว่าข้างหลังจะเกิดอะไรขึ้น
“ หมอนั้นจะรีบไปไหนกัน
ทำยังกับจะรีบไปกู้โลกอย่างงั้นแหละ โรงเรียนยังไม่เข้าสักหน่อย ”
“ นั้นสิเนอะ !!
อย่าไปสนเลย คุยเรื่องที่เราคุยต่อกันเถอะ ” นักเรียนหญิงทั้งสองคนที่พึ่งลงมาจากรถมาพร้อมกันกับผมก็ต้องแปลกใจกับการกระทำอันเร่งรีบเกินเหตุจำเป็นของผม
แม้พวกเธอจะยืนอึ้งอยู่สักพัก
แต่ไม่นานนักพวกเธอก็เบนสายตาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรและเดินคุยกันต่ออย่างสบายใจ
จากการคัดเลือกและได้ทำการประกาศผลห้องเรียนที่ได้เมื่อ
2 สัปดาห์ก่อนหลังจากประกาศผลสอบเข้าได้ไม่นานนัก
ผมซึ่งดีใจจนตัวจะลอยกับการที่สอบเข้าโรงเรียนนี้ได้อยู่แล้วนั้นก็ต้องประหลาดใจอย่างหนักกว่าเดิม
เพราะว่า ห้องที่ผมได้นั้น คือ ห้อง 2 ซึ่งเป็นห้องที่เขาพูดต่อๆ
กันมาว่ามีจำนวนคนน้อยที่สุดประมาณ 20 กว่าคนเองเท่านั้น เพราะความเคยชินที่สมัยก่อนตอนอยู่ประถมนั้น
ผมเรียนในห้องเรียนที่มีจำนวนคนน้อยอย่างนี้แหละ มันก็เลยสร้างเจตคติส่วนตัวที่ว่า
“ ยิ่งคนในกลุ่มห้องเรียนมีน้อยเท่าไหร่
ความสนิทสนมก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ” แต่มันคงไม่เกี่ยวหรอกมั้ง
เพราะ อันตัวผมเองเป็นคนที่ชอบความเงียบสงบ ก็เลยอาจจะชอบบรรยากาศที่ว่าก็ได้
คงไม่เกี่ยวกับคนอื่น
“ แฮก แฮก
ในที่สุดก็มาถึงสินะ เกือบตายแหนะ ยิ่งไม่ค่อยชอบวิ่งไกลๆ อยู่ด้วย บ้าเอ๋ย !!
” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ หลังจากที่วิ่งบ่นในใจตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงหน้าโรงเรียน
ผมลองสำรวจรอบๆ ดูก่อนว่าตัวเองทำอะไรผิดปกติหรือไม่
ก่อนที่จะเดินไปที่อาคารเรียนของผมเพื่อไปที่ห้อง
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก
ตอนนี้เวลา 7.45 น. ผมนั้นเองกำลังเดินอยู่ตรงทางเดินของชั้น
2 บริเวณอาคารอาณาเขตของห้อง 2 ที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้เบื้องต้นซึ่งอยู่ทางซีกซ้ายของโรงเรียนประมาณ
1 ตึก จำนวน 6 ชั้น เลยทีเดียว ผมเดินตรงไปทางห้องเรียนของผมที่อยู่สุดทางเดิน
ที่เหลือที่ผมเดินผ่านมานั้นเป็นห้องฝึกที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และห้องพักครูซึ่งมีคุณครูประจำชั้นของห้องผมอาศัยนอนพัก
ความจริงวันนี้ผมต้องมาเช้ากว่านี้เพราะวันนี้มีธุระจำเป็นที่ต้องสะสาง อะไรนะเหรอ
ก็สายโทรศัพท์ปริศนาที่โทรมาเมื่อวานนะสิ ทำเอาผมต้องมาเช้าเพื่อเคลียร์
“ สวัสดีค่ะ คะ...คือว่า
นี่ใช้เบอร์ของคุณเรนดร้อปใช้ไหมค่ะ คะ...คือว่า ฉันมิ้งค่ะ มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะค่ะ
” เสียงที่ดูสั่นๆ โทรมาหาผมกลางดึก
ทำให้ผมรู้ทันทีว่าเป็นใครที่โทรมา
“ คร้าบ เรนดร้อปพูดอยู่
มีอะไรล่ะมิ้ง ทำไมถึงโทรมาหาฉันดึกดื่นขนาดนี้ล่ะ ” ตอนนั้นผมกำลังเล่นคอมพิวเตอร์อย่างเมามัน
สายโทรศัพท์สายนี้จากมิ้งเพื่อนหญิงแสนสนิทของผมก็โทรมา
“ คุณอนันต์ !! พรุ่งนี้มาให้เช้าล่ะนะค่ะ เราต้องมีเรื่องมาคุยกันค่ะ
ถ้ามาสายแม้แต่นิดเดียวรับรองจะเสียใจค่ะ ”
“ ตู้ด !! ตู้ด
!! ขอโทษค่ะ เลขหมายปลายทางนี่ได้วางสายไปแล้วกรุณาวางโทรศัพท์ของคุณเพื่อไม่ให้เปลืองแบตเตอรี่ด้วยค่ะ
” เสียงจากสายโทรศัพท์ดังได้สักพักก็ดับลงปล่อยให้ผมจมปลักกับความงุนงง
ในความเป็นจริงนั้นการที่นักเรียนมาโรงเรียนค่อนข้างเช้านั้น
มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในโทรศัพท์เมื่อคืนกับธุระพันล้านเลย
ส่วนใหญ่มักจะมีเหตุผลที่สำคัญอยู่นั้นก็คือ การมาทำการบ้านตอนช่วงเช้า
การบ้านเป็นสิ่งที่ต้องทำที่บ้านแต่ในบางครั้งนั้นเราเองก็ไม่สามารถทำมันได้เหมือนกัน
เราจึงแก้ปัญหาด้วยการมาขอคำปรึกษาจากเพื่อนที่โรงเรียนที่บางคนอาจจะทำได้ไม่ได้ว่ากันไป
หรือ สิ้นสุดความพยายามด้วยการลอกของคนที่ทำได้นั้นเอง คิดดูเอานะว่าจริงรึป่าว ลองสมมติว่ามีเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วที่ผ่านมา
“ แฮก แฮก (เอฟเฟคเสียงแสดงอาการเหนื่อย)
การบ้าน 150 หน้าของอาจารย์อาร์ซิลเลียนเสร็จสักที ” ผมเหนื่อยทรุดตัวลงกับโต๊ะราวกับพึ่งกลับจากสนามรบที่แสนทรหด
“ นี่ !! ตกลงการบ้านหมดแล้วใช้ไหม
พี่ ? ” ผมหันไปถามรุ่นพี่ที่นั่งข้างหลังฟังเพลงจากหูฟังอย่างสบายอารมณ์
“ หา !! ” ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยได้ยิน “
แกพูดว่าอะไรนะ น้องอนันต์ !! ” พี่เขาตะโกนถามผมในขณะที่เขากำลังโยกตัวไปมาตามจังหวะของเสียงเพลงในหูฟัง
“ ผมถามว่า การบ้านเนี่ยหมดแล้วใช้ไหม
ไม่มีวิชาอื่นแล้วใช้ไหมพี่ ? ” ผมตะโกนตอบ
“ หา !! ” มันไม่ได้ยินอีกแล้ว “
ถามอะไรของน้องอ่ะ ? พี่ไม่ค่อยได้ยินที่น้องพูดเลย ”
เขาตะโกนถาม ผมเห็นดังนั้นก็เริ่มรำคาญ จากนั้นผมก็เอื้อมมือไปหยิบหูฟังออกจากหูของเขา
“ พี่จะใส่ทำไม !!! ” ผมตะโกนใส่มันเต็มๆ จนทำให้รุ่นพี่คนนี้สะดุ้งตกใจเลย
แล้วเขาก็หยิบหูฟังจากมือของผมที่หยิบมาเมื่อครู่จากหูของเขาเก็บใส่กระเป๋า
และจากนั้นพี่เขาก็นั่งเก็กท่าหันหน้ามาผม กระแอ้มเสียงก่อนที่จะตอบคำถาม
“ อีก 50 หน้าของอาจารย์กอนนะเออ
ทำใจหน่อยไอ้น้อง (ลากเสียงสั้นๆ แสดงอาการกวน) ”
“ หา...? การบ้านที่ไหนอีกล่ะนั้น
ผมว่าเมื่อวานที่ผมจดบันทึกเอาไว้ในหัว มันน่าจะหมดแล้วหนิพี่ ? ”
“ อนันต์ !! แกเนี่ยนะ
แน่ใจได้ยังไงว่าหมด ทำไมไม่จดบันทึกไว้ดีๆ อย่างพี่ล่ะ ”
“ ถามจริง เขามาสั่งตอนไหนห้ะ ?
” ผมถามด้วยอาการที่สงสัยอย่างสุดขีด
“ ก็ตอนก่อนจะกลับบ้าน
แล้วก็...เอ๋ย !! ขอโทษๆ เมื่อวานเขามาสั่งตอนที่น้องกลับไปแล้วนะสิ
ลืมบอกๆ ” เขาขอโทษแก้ตัวเล็กน้อย พร้อมเอามือตบที่ไหล่ของผมเบาๆ
แต่นั้นเป็นความเบาที่ทำให้ไหล่ผมทรุดไปพอสมควร
“ ให้ตายเถอะ !! ” ผมถอนหายใจ
รุ่นพี่คนนี้ที่ผมกำลังคุยอยู่ด้วยมีชื่อว่า
ไลก้า ลีโอชิน หรือชื่อเล่นของเจ้านี่คือ ชิน อายุ 18 ปี แก่โครตๆ
ผู้ซึ่งพลาดการสอบของโรงเรียนมาถึง 2 ครั้ง เพราะ
สอบตกทฤษฎีโฮโลแกรม จนในที่สุดก็สอบติดในครั้งที่ 3 หมอนี่เป็นเพื่อนสนิทคนแรกของผมในโรงเรียนแห่งนี้
ด้วยความที่ผมอายุพอๆ กับเขา ผมจึงไม่เรียกเขาว่าพี่ เดิมทีในตอนแรกที่ผมรู้จักกับเขา
เขาเป็นคนที่มีนิสัยค่อนข้างเงียบและสุขุมมาก ผมไม่กล้าเข้าใกล้เขาอยู่เหมือนกัน
แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้วนั้นเขาเป็นคนที่คุยสนุกมากๆ
เป็นคนที่พร้อมที่จะช่วยผมตลอดเวลา เป็นบุรุษที่แสนจะเพอร์เฟคในห้อง
จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นักเรียนหญิงห้องอื่นถึงขนาดมาจีบเลยล่ะ
แต่หมอนี่ก็ปฏิเสธตลอด น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
“ ไม่เป็นไรๆ ทำแปปเดียวก็เสร็จ
แต่คงต้องเหนื่อยหน่อยสินะ ” ผมพูดเสร็จก็ถอนหายใจ
“ ให้ช่วยไหมค่ะ คุณอนันต์ ?
ดูเหมือนคุณจะเหนื่อยมากเลยนะ ลอกของฉันก็ได้ ไหนๆ คุณก็อุตสาห์ช่วยฉันตั้งหลายครั้ง
การบ้านแค่นี้ถ้าทำไม่ได้ลอกไปก่อนก็ได้ค่ะ แล้วไว้เดี่ยวฉันจะสอนให้ทีหลังนะ
”
เพื่อนผู้หญิงที่ทั้งน่ารัก สดใส หุ่นอวบอั่น หน้าตาสะสวย
ชอบช่วยเหลือคนอื่น และยังใจดีราวกับนางฟ้ากำลังประทานพรกับผม ชื่อของเธอคือ
เทอสลี่ มีเดส หรือว่าชื่อเล่นที่เธอชอบให้เพื่อนเรียกคือ มิ้ง อายุ 16 ปี หญิงสาวไฟแรงที่สามารถสอบติดโรงเรียนนี้ได้ภายในครั้งเดียวหลังจากที่เธอจบมัธยมต้นมาหมาดๆ
ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอเป็นคนที่เก่งมากๆ ในห้องนี้ เธอเป็นคนที่นิสัยชอบช่วยคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
เป็นคนที่สวยมาก งามทั้งกาย ทั้งใจเชียวล่ะ
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้สบายมาก
อนันต์ เรนดร้อป ซะอย่าง ” ผมพูดแสดงความเกรงใจตอบเธอ
“ พี่มิ้ง !! พี่อย่าหลงกลตาบ้านั้นเฉียวล่ะ ไม่งั้นพี่จะต้องเสียใจ หนูจะไม่ยอมให้พี่ที่เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของหนูตกนรกไปพร้อมกับตาบ้านี่เด็ดขาด
” ผู้หญิงตัวเล็กๆ เพื่อนอีกคนของมิ้งกระซากแขนดึงตัวเธอออกมา
เพื่อนผู้หญิงของมิ้งคนนี้ที่ทั้งเตี้ย น่าอกแบน
เอาแต่ใจตัวเอง และยังปากไม่ตรงกับใจราวกับนางมารซาตาน มีชื่อว่า คานาลิน เวสแฟร หรือที่ผมและมิ้งมักจะเรียกชื่อสั้นๆ
ของเธอว่า คานะ อายุ 15 ปี จนหลายๆ คนเรียกเธอว่าน้องคานะจัง
เธอเป็นคนที่เรียกว่า อาจจะเก่งที่สุดในห้องนี้เลยก็ได้ แต่เพราะเธอยังขาดประสบการณ์ทำให้เธอยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร
เธอสามารถสอบติดโรงเรียน Destiny ได้ตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมศึกษาปีที่
3 ทำให้หลายๆ คนเกรงกลัวเธอไม่ใช้น้อย เป็นคนที่มีนิสัยตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับมิ้ง
เป็นคนที่มีนิสัยเงียบไม่ค่อยคุยกับใครและคล้ายเด็กอยู่หลายๆ ด้าน
แต่มองเป็นมองมาแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ เสียดายเธอมือหนักไปหน่อย
เธอเลยไม่ได้เพอร์เฟคเท่ากับมิ้ง
“ ทำไมล่ะ น้องคานะจัง ? ก็คุณอนันต์เขากำลังลำบากนะ พี่แค่อยากจะ.....”
“ เชื่อหนูสิ !! ” มิ้งนั้นที่อยากช่วยอยู่แล้วก็ทนความดิ้อดึงของยัยคานะไม่ได้
แถมพอพี่คานะเธอปฏิบัติตามแผนของเธอเสร็จ ก็หันมาแลบลิ้น เย้อยอผมราวกับผมเป็นผู้แพ้เขาอย่างหมดหนทาง
“ วันนี้นายดวงซวยหน่อยนะ อนันต์
” พี่ชินพูดแสดงความยินดีกับผม
“ เออ !! ดีนะที่เป็นแค่วันนี้
จะว่าไปจริงๆ พี่น่าจะช่วยผมหน่อยนะ พี่ชิน สักนิดสักหน่อยก็ยังดี ”
“ เพื่อนที่ดีต้องคอยชี้แนะสิ่งเป็นประโยชน์ให้เว้ย
!! การลอกการบ้านคนอื่นเป็นอะไรที่ไม่ถูก ” เขาส่ายหน้าพยายามเตือนสติผมไม่ให้ทำในสิ่งที่ผิดมหันต์
“ เมื่อวันก่อนพี่ยังลอกการบ้านภาควิชาโฮโลแกรมของผมอยู่เลยนะพี่
”
“ นิดหน่อยน่า !! ถือว่าเป็นหุ้นร่วมด้วยกันไง พี่น้องกันๆ ”
“ โอ้ !!
รักพี่ชายคนนี้ที่สุดในโลกเลย จริงๆ นะ จริ้งๆ ” ผมพูดประชดใส่พี่เขาไปเต็มๆ
ไม่รู้นะว่าพี่ชินมันรู้รึเปล่า เพราะ ปกติพี่คนสนิทคนนี้มักจะมีท่าทางบุคลิกที่เคร่งครึม
ไม่ค่อยได้พูดกับใครมากนักนอกจากผม ไม่รู้วันนี้พี่มันถูกหวยอะไรรึเปล่าถึงคุยกับผมได้ตลกขนาดนี้
เรื่องในวันก่อนๆ ที่ผ่านมาได้ไม่นานนัก
ผมยังจำได้ไม่ลืมทำเอาขนลุกไปครู่หนึ่ง มันไม่ใช้เหตุการณ์สมมติหรอก จริงๆ แล้ว ถ้าจะให้พูดไปก็อาจจะสามารถกล่าวถึงเรื่องราวการมาโรงเรียนตอนเช้าได้มากมายเป็นพันเรื่องไม่ว่าจะเป็นดี
หรือ ร้าย ไม่ได้มีแค่เรื่องนี้หรอก ยกตัวอย่างเหตุการณ์สมมติอีกเหตุการณ์หนึ่ง นั้นคือ
ธรรมเนียมปฏิบัติการเดินเข้าประตูห้องเรียนของผมที่จะต้องโดนลูกเตะบอลโลกของคุณหญิงมิ้งกับยัยคานะถีบเข้ากลางอกทุกวัน
ถามว่าอะไรคือเหตุผลงั้นเหรอคำตอบคือ “ ไม่มี ” สองคนนี้มักจะมะรุมมะตุมผลัดกันเป็นนักมวยเตะกระสอบทรายอยู่เสมอ
ไม่ได้จะคิดไปในแง่ลบหรอกนะว่าทั้งสองอยากแกล้งแต่อย่าว่ากันเลย จากการสังเกตของพี่ชิน
ก็พอจะบอกได้ว่าสองคนกำลังแสดงอาการ “ หมั่นไส้ ” อย่างเห็นได้ชัดเจน น้องสองคนนี้เขาหมั่นไส้ผมอะไรนะเหรอ ก็อย่างเช่นการไปคุยกับรุ่นพี่รุ่นน้องนักเรียนผู้หญิงคนอื่นหรือไม่ก็ทำตัวใจบุญคอยช่วยเหลืออิสตรี
ซึ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่ได้อยากจะทำมากเท่าใดนักหรอก แต่พอสองคนนั้นมาเห็นโดยบังเอิญทีไรก็มักจะเกิดจินตภาพสุดวิเศษว่าผมกำลังทำตัวเป็นพวกกะล่อน
จนเกิดการลงโทษดังกล่าวขึ้นมาเป็นประจำทุกวัน ช่างเถอะ !!
มันเป็นการยกตัวอย่างที่ไม่ค่อยถูกต้องมากนัก แต่ใช้ว่าทุกอย่างต้องมาลงเอยด้วยการลอกการบ้านในตอนเช้า
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ใช้พวกที่มีวิสัยแบบนั้น
“ เห้ย !! ตาพี่บอสซุนไหนบอกว่าเมื่อวาน ไม่มีการบ้านไงเล่า ไหงผมทำไมไม่ทำอยู่คนเดียวในห้องล่ะเนี่ย
ห้า ! ” โป้ะ !! สันหนังสือเรียนหนาประมาณ
300 หน้าเศษ กระแทกใส่ศีรษะผู้พูดอย่างจัง
“
ใจเย็นน้องชาย วันนี้น่ะพี่ชายคนนี้ได้หาทางสว่างไว้ช่วยเหลือน้องรักของพี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
”
“ จะ...จริงหรอครับ
พี่หัวหน้าสุดหล้อจ้า ”
“ จริงสิจ้ะ
แม่หนูน้อย เทอรี่-จัง ”
“ สุดยอดเลย ในที่สุด
ผมก็รอดจากเงื้อมมือของ อาจารย์ อาร์ซิลเลียนแล้ว อุตสาห์นั่งกลัดกลุ้มทั้งคืนในที่สุด
พี่ชาย !! หัวหน้าที่ประเสริฐที่สุดใน 3 โลกอย่าง ชางอัน ซุนเหลียง ผู้นี้ ”
“ เจ้าชมเกินไปแล้วทาสผู้ซื่อสัตย์ของข้า
” เขาอายอยู่สักพักก็ยืดอกขึ้น
“ ถ้างั้น เอาการบ้านมาดูเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา นะๆ
พี่หัวหน้าจ๋า ” เขาคุกเข่าวิงวอน
“ หา...? การบ้านหรอ...? อุ้ยตายแล้ว !! พี่เผลอส่งไปแล้วอ่ะสิน้องชาย ” เขาหันมาตอบพร้อมกับทำหน้ายียวนกวนประสาทใส่และแลบลิ้นแสดงอาการเย้ยหยัน
“ แกว่าไงน้า !!
” เทอรี่พูดเสร็จไม่ถึงนาทีเขาก็รับชักดาบยาวพอประมาณที่เหน็บอยู่ข้างเอว
ชี้ไปที่ผู้ตอบอย่างไม่หลังเลใจ
“ โถ่ๆ แหม่น้องเทอรี่ก็
พี่ล้อเล่นน่า จริงๆ แล้วพี่แค่อยากจะแกล้งน้องเล่นเฉยๆ เอง เอาน่า !! สีสันยามเช้านะจ้ะ ” เขายิ้มให้ด้วยไมตรีที่แสนอ่อนหวานเต็มประด้วยมิตรภาพ
“ นี่ !! อย่าว่ากันเลยนะพี่ แต่ว่า มีสีสันแบบนี้บ่อยๆ มันก็ไม่ดีนะ ” เทอรี่เก็บดาบเข้าตามเดิม
ปกติชีวิตประจำวันในโรงเรียนนี้ของผมนั้นก็ไม่ได้สนุกมากเท่าใดนัก
ตอนนี้ผมได้เดินมาถึงห้อง 2 เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วยอาการหอบเหนื่อย
เพราะ ผมเป็นคนที่เดินหรือวิ่งมากไม่ค่อยได้มันจะเหนื่อยแปลกๆ
อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของความสามารถของผมเองที่.... เดี่ยวค่อยว่าทีหลัง
เอาเป็นว่าวันนี้เดินเข้ามาในห้องไม่ทันไร ก็เจอเหตุการณ์สมมติเมื่อครู่ทันที
ซึ่งเป็นละครตลกสีสันประจำวันทุกเช้าของห้องนี้ สองคนนั้นเป็นเพื่อนร่วมชั้นของผม พี่คนหนึ่งที่ถูกเรียกเป็นฉายานามว่า
“ หัวหน้า ” นั้นมีชื่อเล่นว่า ใบซุน
หรือชื่อจริงของเขาคือ ชางอัน ซุนเหลียง อายุ 17 ปีเท่ากับผมแต่เกิดก่อนผมประมาณ
6 เดือนผมจึงยอมเรียกเขาว่าพี่เพี่อความสนิทสนม
แต่วันไหนที่พี่มันทำตัวน่าหมั่นไส้ ผู้ที่มาสอบติดโรงเรียน Destiny ได้ในครั้งที่ 2 คนในห้องมักจะเรียกเขาว่า “ บอสซุน ” นั้นแหละ “ บอส
” คำนี้มันมาจากคำภาษาอังกฤษที่แปลตามปกติว่า หัวหน้า
คนในห้องนำมาผสมปนเปกับชื่อเล่นจริงๆ ของเขา จนกลายเป็นบอสซุนนั้นแหละ บอสซุนนั้นปกติเขาเป็นคนที่มีภาวะความเป็นผู้นำที่สูงมาก
งานในห้องส่วนใหญ่เขาจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการปฏิบัติงานแต่ล่ะครั้ง เขาเป็นบุคคลที่ชอบในคำเยินยอสรรเสริญเป็นอย่างมาก
ถ้าใครชมเขาหน่อยนะ เขาจะบิดอายราวกับ เด็กได้รับคำชมจากพ่อแม่ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ให้ความเคารพเขามากเช่นเดียวกันกับหลายๆ
คนในห้อง 2 นี้เลยล่ะ
ส่วนอีกคนที่นั่งหงอเป็นตุ๊ดอยู่นั้น มีชื่อว่า
เทอรี่ หรือชื่อจริงคือ เทอรี่ ท้อด น้องเล็กอายุ 16 ปี ผู้ที่สอบติดโรงเรียน Destiny
ได้ภายในครั้งแรกเช่นเดียวกับมิ้งและคานะ เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ
นี่แหละครับ แต่เขาก็เป็นคนที่รื่นเริงนิดหนึ่ง เริ่มแรกเดิมทีเขาก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกที่ผมพบเขาหรอก
ในตอนนั้นเขาเป็นคนที่ค่อนข้างยิ่งทะนงในเรื่องของความสามารถ เพราะเขาเป็นคนที่เก่งกาจ
และเก่งตามที่มันยิ่งจริงๆ แม้กระทั้งตอนสอบเข้ามาเขายังได้อยู่ในลำดับต้นๆ เขาเคยแสดงความสามารถของเขาครั้งหนึ่งท่ามกลางเพื่อนๆ
ในห้องเป็นที่ตื่นตะลึงจนขนาดเราทั้งหมดในห้องต้องยอมเขา เขาเลยคิดว่าคนทั้งห้องต้องยอมแพ้เขา แต่สุดท้ายมนก็โดนพี่ชินของผมสั่งสอนไปจนเขาก็ให้ความร่วมมือกับเราและปรับปรุงนิสัยของเขาเองเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
เขานั้นต่อให้เก่งขนาดสามารถไถ่เงินเพื่อนในห้องได้ง่ายๆ
เขาก็ไม่ค่อยมายุ่งวุ่นวายกับคนขี้เกียจอย่างผมมากหนัก อาจจะเป็นเพราะว่าผมเป็นเพื่อนสนิทพี่ชินละมั้งนะ
ถามว่า 2 คนนี้มีปมอะไรกันนะเหรอ ก็อย่างว่า พี่ชินเคยเอาชนะหมอนี้อย่างราบคาบมาก่อน
แต่เห็นพี่เขาบอกกับผมเสมอๆ เวลาคุยถึงเรื่องนี้ตลอดว่า มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอย่างไร
กลับกลายเป็นผลประโยชน์ของทุกคนซะงั้น หมอนั้นกลายเป็นคนที่มีนิสัยหลังมือเป็นหน้ามือ
เขามีนิสัยที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนทุกคนในห้องเลิกที่จะมีมานะทิฐิกับเขา และเพราะเรื่องนี้เองก็ส่งผลให้ตั้งแต่นั้นมา
พี่ชินก็เลยกลายเป็นอันดับหนึ่งของห้องไปโดยบังเอิญ โดยมีไอ้เทอรี่คอยติดตามเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างหลังเสมอๆ
หลังจากเหตุการณ์สมมติเมื่อครู่จบลงและผ่านไปด้วยดี
ผมตรงไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างที่เดิมของผมอย่างสบายใจ
น่าแปลกที่วันนี้ผมยังไม่เจอลูกเตะของแม่สองคนนั้น รู้สึกแม่สองสาวนั้นอาจจะมาสายเนื่องจากวันนี้รู้สึกสองคนนั้นมีนัดไปช่วยอาจารย์ที่ไหนไม่รู้
ทำอะไรสักอย่างนี้แหละ เขาบอกผมมาแล้วและผมก็ลืมไปแล้วเช่นกัน ไม่รู้ว่าจำวันผิดรึป่าวแต่จะว่าไปก็น่าตลกอยู่พอตัวนะที่คนนัด
“ มิ้ง ” นั้นมาสายกว่าทั้งทีตัวเองย้ำนักย้ำหนาในโทรศัพท์เมื่อวานให้ผมรีบมาเช้า ช่างเถอะๆ
ดีแล้วๆ สงบๆ แบบนี้ดีแล้ว ผมจะได้งีบหลับสักหน่อยพอเป็นพิธีก่อนเข้าคาบเรียนแรก
“ นี่ๆ น้องอนันต์คับ
น้องทำการบ้านมารึยังอ่ะ ” พี่ชินสะกิดผมจากด้านหลังที่กำลังจะฟุ่บลงไป
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมจึงต้องหันไปโต้ตอบกับเขา
“ อะไรเนี่ย !!
ถามผมแต่เช้าเลยนะพี่ ทำไมล่ะ !! จะขอลอกงั้นเหรอ
ที่ 1 ตลอดกาลอย่างไลก้า ลีโอชิน ยังขอลอกการบ้านผมเหรอเนี่ย
!! ” พี่เขานิ่งไปสักพักหลังจากผมพูดประชดไปอย่างแรงเมื่อครู่
ไม่นานหนักน้ำตาพี่เขาก็ไหลปริ่มๆ
“ แกพูดอะไรอย่างนั้นห้ะ
!! แกก็รู้ !! พี่ขอลอกแกอยู่วิชาเดียว
นั้นคือ... ”
“ เออผมล้อเล่นๆ
เอาไปเถอะ วิชาโฮโลแกรมผมเสร็จนานแล้ว ”
“ แต้งกิ้วนะอนันต์ !!
เอาเป็นว่าเดี่ยววันนี้ พี่พาไปเลี้ยงขนม ” พี่ชินพูดแล้วยิ้มด้วยอาการกวนๆ
เหมือนอาแปะกำลังจะหลอกเด็กขายขนม
“ ตลกนะพี่ รีบๆ
ลอกไปเลย เดี่ยวหมดโปรโมชั่น ” ผมชี้ไปที่การบ้านที่พี่เขากำลังจะลอกด้วยอาการโมโหเล็กน้อย
“ ล้อเล่นน่าไอ้น้องรัก
งั้นเดี่ยวเย็นนี้พี่พาไปเลี้ยงข้าวก็แล้วกัน ตรงตลาดใหญ่ข้างๆ โรงเรียนเนี่ย
ไปกันไหม ? ” พี่ชินขอโทษก่อนที่จะออกอาการชวนผม
โดยยื่นมือทั้งสองข้างมาแตะไหลของผม
“ เห้ย !! ตรงนั้นอีกแล้วหรอพี่ ? ” ผมเกิดอาการสดุ้ง
ตกใจเล็กน้อย
“ เออ !! แถวนั้นเส้นพี่มีเยอะ นักรบพลัง Will อย่างพี่
ช่วยคนแถวนั้นบ่อยไม่มีปัญหา กินฟรียังได้เลย ”
“ พี่กินฟรี แต่ผมจ่าย
ใช้ไหมล่ะ ? รีบๆ ลอกเลยนะเดี่ยวจะเอาคืนแล้ว ผมหมั่นไส้สุภาพบุรุษ
” พี่ชินพูดยังไม่ทันจะจบผมก็รีบตอบสวนไปทันที โดยชักสีหน้าที่จงใจจะบอกให้พี่เขารู้ว่า
ตอนนี้กำลังผมหัวเสียจากคำพูดของพี่เขาอยู่
“ โอเคๆ
รีบทำงานดีกว่าเนอะ จะได้ทำอย่างอื่นที่เป็นแก่นสารของชีวิต ”
“ พึ่งรู้เหรอพี่ !! ” พี่ชินแอบหัวเราะนิดเมื่อได้ยิน พอพูดจบผมก็ไม่ได้สวนอะไรกลับไป พี่เขาก็นั่งลอกการบ้านของผมต่อไปอย่างเงียบ
ส่วนผมก็นั่งชมนกชมกานอกหน้าต่างและในห้องไป
“ พี่ชินจัง
วันนี้เรากลับบ้านด้วยกันอีกได้ไหม พอดีว่าวันนี้หนูลืมเอากระเป๋าเงินมานะสิ
กะไว้ว่าจะขอยืมเงินไปซื้อขนมที่พี่ชายเขาฝากไว้ด้วยอ่ะ ยังไงเดี่ยวหนูคืนให้แน่
สัญญาๆ แหะๆ ”
เสียงแหลมๆ อันนี้เป็นของอาริน หรือชื่อจริงๆ
ของเธอคือ อาริน อาชิตะ อายุ 15 ปี สาวแว่นจอมเปิ่นประจำห้อง ผู้ที่เก่งพอๆ
กับคานะแต่คนละด้านกัน อารินเก่งในเรื่องของการประดิษฐ์มากๆ
จนได้โควตาคะแนนพิเศษตอนสอบเข้า ส่วนคานะเขาเก่งเรื่องการใช้กำลัง
อารินเป็นคนที่นิสัยดี น่ารักสดใสในแบบของเด็กๆ จนบางดูอ่อนแอและซุ่มซ่าม
เธอเป็นน้องเล็กที่ใครในห้องต่างก็ห่วงใย เพราะ เธอจิตใจไม่ได้เข้มแข็งหรือร่างกายไม่ได้แข็งแกร่งพอๆ
กับยัยถึกคานาลิน น้องอารินคนที่จึงเป็นเสมือนกำลังใจเล็กๆ
สำหรับพวกเราเวลาโดนอาจารย์อาร์ซิลเลียนด่าในห้อง
“ อ้าวทำไมเป็นยังงั้นล่ะ
คุณป้าอาริน โธ่เอ๋ย !! เธอเนี่ยนะทำไมไม่รู้จักตรวจข้าวของก่อนจากบ้านบ้าง
ดีนะที่ลืมแค่กระเป๋าเงินไว้ที่บ้าน
นี่ถ้าเกิดลืมใส่เสื้อผ้ามาโรงเรียนจะทำยังไงห้า !! ” พี่ชินวางปากกาลงแล้วพูดขึ้นเสียงสูง
“ ถ้างั้นก็แย่นะสิ
มีหวังคนแถวนั้นหาว่าหนูเป็นคนบ้าแน่ๆ เลย ”
“ ฉันประชด แม่คุณ !!
” และแล้วในที่สุดสองคนนี้ก็ยืนโต้วาทีเสียงดังอยู่ข้างหลังผมต่อไป ผมเคยได้ยินมาว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนในตอนสมัยเป็นเด็กด้วยกัน
ดูเหมือนมิ้งจะเคยกระซิบกระซาบให้ฟังว่า น้องอารินคนนี้นั้นแอบมีความรู้สึกห่วงใยให้กับพี่ชินอยู่เสมอ
ราวกับว่า เธอกำลังแอบชอบเจ้าพี่ชายคนนี้อยู่ แต่มันเป็นเรื่องที่ผมไม่อาจจะเชื่อได้อยู่ดี
เพราะ เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ...
ตูม !! เสียงระเบิดดังมาจากข้างหลังของผม
“ พี่ชินจังนะบ้าที่สุด แค่นี้ไม่เห็นต้องโกรธกันเลยนี่น่า
ใจเย็นหน่อยสิ พี่อ่ะเป็นอย่างงี้ตลอดเลย บ้าที่สุด ”
หุ่นยุ่นตัวจิ๋วพลังทำลายล้างสูงที่แม่น้องแว่นอารินประดิษฐ์ขึ้นมากำลังตะบี้ตะบันฟัดเวี่ยงอยู่กับเจ้าชินอย่างเมามันโดยพี่เขาทำอะไรไม่ได้
ถ้าขืนโต้ตอบเมื่อไหรพี่แกอ่วมแน่ๆ บางครั้งผมที่เป็นเพื่อนสนิทของพี่เขาก็อยากไปห้ามน้องอารินคนนี้บ้างว่า
น่าจะเบามือหน่อย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะนี้คือ
เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำหลังจากการสนทนาระหว่าง 2 คนนี้
จบตอนที่ 1 ติดตามต่อตอนที่ 2 ได้เร็วๆ นี้ นะจ้ะ ^0^
ที่เว็บไซต์นี้ที่เดียวเท่านั้น