- Back to Home »
- Destiny R. Episode 2 : เช้าที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่
Posted by : Unknown
Jul 1, 2013
สมาชิกในห้องของผมนั้นเริ่มมากันค่อนข้างเยอะแล้ว
เวลาเริ่มเรียนชั่วโมงแรกของแต่ละห้องไม่ตรงกัน เนื่องจากบทเรียนของแต่ละห้องที่เรียนไม่เหมือนกัน
ทำให้บางคนขี้เกียจมาเร็วมากนักก็เลยชอบตื่นสายกันบ่อยๆ สำหรับชั่วโมงแรกในวันนี้ของห้องผมเริ่มเรียนประมาณ
8 โมงครึ่ง
เป็นของอาจารย์อาร์ซิลเลียนซึ่งครั้งที่แล้วอาจารย์นั้นสั่งงานเอาไว้ 200 หน้าทำให้หลายคนมาเช้าเพื่อทำการบ้านนี้แหละจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่วางมือกันแม้แต่วินาทีเดียวเลย
การบ้านของผมนั้นเสร็จแล้วเนื่องจากขอลอกพี่ชินเขามาส่วนหนึ่ง
การบ้านส่วนใหญ่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพื้นฐานทักษะการต่อสู้ประชิดตัว
ในที่นี้เราเรียกกันว่า “ วิล (Will) ” ซึ่งเป็นเรื่องที่พี่ชินเขาถนัดมาก ทำไม่ถึง 5 นาทีก็เสร็จ
จริงๆ แล้วผมก็สามารถทำเองได้ แต่พอดีผมไม่ค่อยชอบเท่าไหรเลยไม่ทำ
การบ้านที่ผมทำมักจะเป็นวิชาที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับโฮโลแกรมเป็นส่วนใหญ่ และนี้ก็เป็นเรื่องที่พี่ชินเขาไม่ถนัดเอาเสียเลย
ทำให้เราสองคนกลายเป็นหุ้นส่วนทางด้านการบ้านผลัดกันลอกเสมอๆ
ไม่นานนักขณะที่ผมกำลังนั่งรอธุระของผมที่ยังไม่มาสักทีและปล่อยให้น้องอารินเขาจัดการกับพี่ชินเขาต่อไปนั้น
เสียงฝีเท้าของคนคนหนึ่งที่ดังมาจากข้างนอกวิ่งตรงมาที่ห้องอย่างเร่งรีบ เลื่อนเปิดประตูห้องอย่างรุนแรง
ทุกคนในห้องหยุดชะงักการทำงานทุกอย่าง
พร้อมมองตรงไปผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเกิดอาการหอบด้วยความเหนื่อยยืนก้มหน้าอออยู่ที่ประตูและกำลังจะพูดบางอย่างออกมา
“ แหกๆ นี่ๆ
หนูไม่ได้มาสายใช้ไหมค่ะ อาจารย์อาร์ซิลเลียน ” สีหน้าที่ซีดเซียวแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ นี่ๆ อยากบอกนะว่า
ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกอีกแล้วใช้ไหม เจ๊ชาร์ ” พี่หัวหน้าบอสซุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่คล้ายอาจารย์
แต่ในแบบที่ดัดนิดดัดหน่อย
“ อ้าวตาพี่บอสซุนทำไมไม่นั่งที่ล่ะ
แล้วทุกคนทำไม.... ” ชาร์เดินเข้ามาในห้อง
เมื่อตนสำรวจโดยดีแล้วนั้น เธอจึงทำหน้าที่มึนงงอย่างสุดๆ เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นในห้อง
“ นี่ !! ตอนนี้เวลา 8 โมง 15 นาทีเอง
ยังไม่เข้าเรียนเลย ทีหลังก่อนจะเข้าห้อง ถ้าเจ๊คิดว่าเจ๊จะมาสายก็หัดเปิดประตูเบาๆ
แล้วก็ดูก่อนว่าคนในห้องกำลังทำอยู่ ”
“ เอ้า 8 โมง 15 เองหรอ แหม่ๆ งั้นก็แย่นะสิ
ทีหลังตั้งนาฬิกาปลุกก่อนดีกว่าเนอะ ” เธอทำท่าเกาหัวและศีรษะเหมือนตัวละครน่ารักในการ์ตูน
“ รู้ไหมเจ๊ชาร์
เจ๊พูดคำนี้มาประมาณ 100 รอบแล้วนะ ” พี่บอสซุนยืนเท้าเอว
“ ช่างเถอะๆ
เอาการบ้านมาลอกหน่อยจิพี่ !! ”
“ ได้ๆ เห้ยเทอรี่
เอาการบ้านไปให้เจ๊ชาร์เขาลอกหน่อยสิ ” พี่บอสซุนรีบหันไปทางเทอรี่ซึ่งอยู่ข้างหลัง
กำลังนั่งลอกการบ้านอย่างเชื่องช้า เทอรี่เมื่อได้ยินคำของพี่บอสซุน
ก็หันไปมองหน้าพี่บอสซุนสักพักและก็พูดบางอย่าง
“ เอ้า !! เขายังทำไม่เสร็จเลยอ่ะ ”
“ แล้วคุณชายนั่งทำอะไรอยู่ล่ะ
ทำไมงานการไม่เสร็จสักที ” พี่เขาตะโกนถาม
“ ก็ดูสี้
!!! ลายมือแบบนี้ใครมันจะอ่านออก ต่อให้พระเจ้ามาอ่าน
ยังต้องเปิดพจนานุกรมเลย ” เขาชี้ไปที่ลายมือสุดวิเศษของพี่บอสซุนบนการบ้าน
พี่เขาเห็นดังนั้นก็เหงือตกพร้อมพูดแก้ตัวว่า
“ อุ้ย !! โถ่ไอ้น้องรัก นี่มันออกจะศิลปะ ” เขาทำท่าเขิญอายอีกแล้ว
“ ไม่เป็นไรๆ
เทอรี่เดี่ยวแกรอลอกต่อจากฉันก็ได้ เดี่ยวฉันจะถอดรหัสการบ้านของตาพี่บอสซุนให้
” ชาร์เห็นสถานการณ์ดังนั้นแล้วจึงรีบเข้าไปพร้อมแสดงอาการไม่เป็นไร
เธอคนที่มีท่าทางรีบร้อนและมีไฟในการทำงาน
เป็นคนที่ร่าเริงอยู่ตลอดเวลานี่มีชื่อว่า ชาร์ลีน่า อัลเบริค หรือ เจ๊ชาร์ อายุ 17 ปี เธอเคยมาสอบที่โรงเรียน
Destiny มาแล้วครั้งหนึ่งแต่สอบไม่ติด มาติดเอารอบที่ 2
ตามปกติแล้วชาร์เป็นคนที่เก่งหลายๆ
อย่างไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเรียนหรือการทำงานนอกเวลาเรียนของเธอ
ชาร์นั้นเป็นเพื่อนคนหนึ่งของพวกเราที่ค่อนข้างมีอิสระ เป็นคนที่นิสัยดี อัธยาศัยเป็นเลิศ
มีน้ำใจกับเพื่อนสุดๆ พอๆ กับมิ้งเลย ทุ่มเททุกอย่างให้เพื่อนได้โดยไม่ลังเลใจแม้แต่นิดเดียว
เธอจึงเป็นที่รักของทุกคนในห้อง ว่ากันว่าถึงแม้ครอบครัวเธอจะเป็นครอบครัวที่ทำธุรกิจร่ำรวยมหาศาลในทางตอนตะวันออกจนเป็นที่ร่ำลือ
แต่เธอกลับเป็นคนที่ชอบทำงานเป็นพนักงานตามร้านอาหารบ้าง
เป็นบรรณารักษ์ที่หอสมุดใหญ่ตรงข้ามโรงเรียนเราบ้าง ทำงานรายได้เสริมต่างหนักมากๆ
จนถึงขนาดที่เธอมาโรงเรียนแบบรั่วๆ ตอนเช้าแบบนี้ทุกวัน จนเธอกลายเป็นหนึ่งในหลายๆ
คนที่น่าเป็นห่วงพอตัวในห้องของเรา
“ เห้อ !! จริงๆ เลย อะไรของพวกนั้นล่ะนั้น เล่นกันแต่เช้าเลย พี่ว่าไหมล่ะพี่ชิน ?
” ผมถอนหายใจพร้อมกับพูดคุยกับพี่ชินซึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง ผมนั่งรอสักพักหนึ่งเห็นว่าพี่เขาไม่ตอบกลับมาผมจึงพูดต่อไปว่า
“ นี่ !! พี่จะเงียบทำไมล่ะ แสดงความคิดเห็นหน่อยซิ ยิ่งรึไง
หรือว่าไม่อยากคุยกับผม ? ” พี่เขายังไม่ตอบผมกลับมาเช่นเดิม
ผมเลยต้องหันไปมองพี่เขาข้างหลัง ในที่สุดก็พบกับความจริง
“ อ้าวเห้ยพี่ !!
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมเป็นสภาพแบบนั้น ? ” ร่างของพี่ชินตัวดำเมี่ยมนอนกองอยู่กับพื้น
เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงรีบวิ่งไปผยุงร่างของพี่เขาทันที
“ พี่ดีใจนะ ที่มีเพื่อนรุ่นน้องที่แสนดีอย่างนายนะ
อนันต์ ” พี่ชินยื่นมือของเขามาจับที่มือของผม
“ พี่รู้แล้วว่าวันนี้น้องอนันต์เป็นห่วงพี่มากแค่ไหน
” พี่ชินพูดต่อพร้อมกับมีน้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลออกมา
“ พี่ไม่นะ !!
อย่าพูดเป็นลางไม่ดีแบบนั้นสิ ” ให้กำลังใจพี่เขาหน่อยก่อนที่จะบ้าไปก่อน
“
น้องอนันต์ ไว้พบกันอีกครั้งที่ทางช้างเผือกนะ ลาก่อน ” โอเค ที่นี้รู้เหตุผลแล้วว่าทำไมเมื่อวันก่อนพี่เขาไม่ได้ทำการบ้านมา
มันหาเวลาไปดูละครตอนไหนว่ะ
เมื่อพี่ชินพูดจาล่ำลาเป็นที่เรียบร้อยเสร็จแล้ว
พี่เขาก็นอนสลบแน่นิ่งไป ผมที่ผยุงร่างของพี่เขาอยู่ หลังจากได้ยินสิ่งไร้สาระที่เขาพูดเสร็จ
ผมก็ทิ้งร่างของพี่เขาโดยไม่ได้สนใจอะไร ผมยืนขึ้นด้วยความรวดเร็ว
ไม่รอช้าผมจึงหันหน้าไปทางน้องอารินซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์มา
ดูเหมือนว่าพี่แกกำลังขบคิดอะไรบางอย่างนานสองนานเลยทีเดียว ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดสิ่งที่พี่แกกำลังคิดก็คงเป็นอะไรที่ไม่น่ากล่าวถึงเกี่ยวกับผู้ชาย
2 คน และดูเหมือนกำลังจะเตรียมไปเล่าให้เพื่อนสนิทของเธอฟัง
จะเป็นใครซะอีกนอกจาก คุณหญิงมิ้ง กับ แม่เถื่อนคานะ
“ ขออนุญาตครับ คุณน้องอาซิตะ
” ผมถามด้วยอาการสุภาพ มารยาทเรียบร้อย
“ อ่ะๆ
มะ...มีอะไรค่ะ คะ...คุณพี่เรนดร้อป ” อาการตกใจของเธอเมื่อผมถามคำถามไปออกมาเห็นได้ซัด
แสดงว่าสิ่งที่เธอคิดไว้น่าจะไปได้ไกลเชียว
“ บอกตามตรงนะคุณน้อง
บางครั้งน้องก็น่าจะวางมือจากหมอนี่บ้างนะ พี่อยากจะบอกเรื่องเหล่านี้กับน้องมานานมากแล้ว
แต่แล้วมันก็ไม่ทันกาล ในที่สุดวันนี้พี่ชินเขาก็ได้ไปทางช้างเผือกอย่างที่มันต้องการสักที
”
“ แหะๆ
พอดีหนูอยากให้พี่ชินจังเขาไปที่ดวงจันทร์มากกว่าอ่ะนะ
เพราะว่าที่โน้นมีกระต่ายเยอะค่ะ ” น้องอารินเขาทำหน้าระรื่น
มีเหงื่อออกเล็กน้อยที่ใบหน้าคล้ายกับอาการอาย หลังจากพูดประโยคเมื่อสักครู่จบไป
“ พอดีบางครั้งพี่ก็ไม่ค่อยจะมีอารมณ์ขันมากขนาดนั้นหรอกนะ
คุณน้อง ” ผมทำสีหน้าที่ตายด้านใส่น้องอาริน
ตัวเธอเองนั้นก็ยืนอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งจนตอบกลับมา
“ ปกติ พี่ชินจังเขาก็เป็นแบบนี้บ่อยๆ
เขาไม่เคยบ่นให้หนูได้ยินเลยนะค่ะ ”
“ หมอนั้นอาจจะเก็บกดก็ได้
” ผมตอบกลับไปอย่างรวดเร็วแล้วภาวนาว่าอย่าให้เกิดอะไรขึ้นแบบเดียวกับที่พี่มันเจอวันนี้เลย
และหลังจากที่ผมสนทนากับน้องอารินเขาเสร็จก็กลับไปที่นั่งของผมริมหน้าต่าง
“
อย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเล้ย !! ขอนั่งอยู่เงียบๆ เถ้อะ ” ผมภาวนาในใจขณะที่กำลังจะย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้
“ ตาบ้าอนันต์ !! ” น่านมากันแล้ว
“ วันนี้คือ วันตายของนาย !!! ” เสียงตะโกนที่แหลมนิดๆ
คล้ายผู้ใหญ่ โหดเหี้ยมและดุดันดังมาจากข้างหลังผม ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใครแต่ว่าสัมผัสที่
6 กำลังบอกอันตราย ผมนั้นตกใจเด้งจากเก้าอี้อย่างรวดเร็วทันที
“ ขะ...ขอโทษครับ
คือ...ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะครับ ” ผมรีบกล่าวขอโทษดักหน้าไว้
ก่อนที่จะค่อยๆ หันไปข้างหลังอย่างช้าๆ เพื่อดูว่าใครคือเจ้าของเสียง
“ โว้วๆ อะไรกันเนี่ย
!! ” น่าน !! ในที่สุดธุระของผมก็มาจนได้
หลังจากรออยู่เป็นเวลานาน เชื่อหรือไม่ว่าทันทีที่ผมหันไปนั้น
ก็ต้องอุทานมาเป็นคำพูดเมื่อครู่ เนื่องจากสิ่งที่ผมเห็นจากข้างหลังคือ
ดาบเรียวยาวขนาดพอประมาณมีประกายไฟติดอยู่ที่ดาบเล็กน้อยกำลังชี้ตรงมาที่ผมโดยผู้ที่ถืออยู่นั้นคือ
คานะ ซึ่งเป็นเจ้าของเสียงข้างต้นที่กำลังฉุนเพราะเรื่องอะไรไม่ทราบ กับ ปืนขนาดลำกระบอกใหญ่ที่ถ้าเล่งถูกนัดเดียวได้นอนโรงพยาบาลยาวของมิ้งที่สายตาของเธอตอนนี้ดำมืดสนิทกำลังเล่งมาที่ผม
ยืนอยู่ตรงประตูหลังห้อง
“ นี่เรื่องอะไรกันเนี่ย
ระ...เราค่อยมาคุยแบบเปิดอกกันก่อนดีไหม ”
“ เราไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้วล่ะค่ะ
ไม่มีคำแก้ตัวสำหรับคนอย่างคุณค่ะ พี่อนันต์ !! ” เสียงที่เย็นชาออกมาจากปากของมิ้ง
พูดไม่ทันจบเธอก็นำนิ้วไปสอดที่ไกปืนพร้อมที่จะยิง
“ ฉันมาเป็นเพื่อนพี่มิ้งนะ
หมั่นไส้นาย ฉันก็เลยอยากจะสับนายเป็นชิ้นๆ สักหน่อย ” คำพูดที่ไม่ตรงกับกิริยาของเธอที่กำลังทำอยู่ตอนนี้นั้นเห็นได้ชัดเจนมากๆ
“ เธอกำลังพูดโกหกอยู่นะ คานะ
” ผมโต้ตอบไปโดยไม่ได้คิดเลยแม้แต่นิดเดียวว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
“ คะ...ใครโกหกกันตาบ้า
ดีล่ะ !! พี่มิ้งหนูว่าเรามาพิพากษาตาบ้านี่เลยดีกว่า
”
“ เห็นด้วยเลยค่ะ
”
ผมได้ยินเสร็จก็ถึงกลับต้องกลืนน้ำลายเลยทีเดียวเพราะตอนนี้ผมกำลังจะได้รับประสบการณ์เหมือนพี่ชินเสียแล้ว
“ กล้วยทอด ” ผมอุทานแบบเบาๆ
ไม่ให้ใครได้ยิน คิดยังไม่ทันเสร็จ มาแล้วครับสองคนนี้พุ่งหล่าวมายังกับนักกีฬาทีมชาติอะไรประมาณนั้น
ทางด้านของยัยคานะเข้ามาก่อนโดยเอาดาบที่เปลวเพลิงติดอยู่เป็นประกายของเธอตวัดมาข้างหน้า
ผมใช้ความคล่องตัวเล็กน้อยหลบไปข้างหลังได้ แต่ยังไม่ทันได้วางใจ
มิ้งก็ใช้ปืนที่ถืออยู่ในตอนแรกยิงเข้ามาเต็มๆ
แต่กระสุนยังไม่ทันมาถึงผมก็รีบหยิบดาบที่ยังไม่ชักออกจากฝักยาวพอประมาณของผมที่วางอยู่ข้างโต๊ะของผมมาปัดออกไปได้
ซึ่งการโจมตีสองครั้งเล่นอีกผมซีดเลยทีเดียว เหนื่อยมากจริงๆ
แต่การโจมตีทั้งสองครั้งนั้นไม่ได้ทำให้สภาพของห้องเรียนนั้นเสียหายแต่อย่างใด
แต่กลับให้คนทั้งห้องกำลังมุงดูว่าเกิดอะไรขึ้นอยู่
“ นี่พวกเธอมีอะไรรึป่าว
ทำไมถึงมีอารมณ์ไอน้ำแต่เช้าเลยล่ะจ้ะ หรือว่าจะเป็นเรื่องของธุระเมื่อวาน ”
ผมถามด้วยอาการกลัวโดยโค้งตัวไปข้างหลังเล็กน้อย
พร้อมที่จะวิ่งลงหน้าต่างตลอดเวลา
“ ฉันได้ยินมาว่าเมื่อวานคุณพี่อนันต์กับคุณพี่ชินไปทำกิริยาไม่ดีกับผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ต่างโรงเรียนสินะค่ะ
ฉันซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบคุณพี่อยู่แล้ว บทลงโทษก็ต้องเป็นแบบนี้ล่ะค่ะ
” มิ้งพูดด้วยคำที่หนักแน่นแสดงความโกรธพร้อมกับลดปืนลงเล็กน้อย ผมเองตอนนี้เตรียมกระโดดหนีออกนอกหน้าต่างแล้ว
“ เดี่ยวก่อนๆ พี่ว่าพี่ไม่ได้ทำอะไรเมื่อวานเลยนะ
เรื่องที่กลับบ้านกับพี่ชินนั้น ใช้ !! เรื่องจริงเลยล่ะ
แต่ว่า....” ผมที่ยังไม่ทันพูดจบ
ยัยคานะก็พูดขัดจังหวะขึ้นมาทันที
“ ยะ...อย่าแก้ตัวเลยดีกว่า
นายนะโกหกเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้วตาบ้า พี่มิ้งอย่าไปเชื่อหมอนี้เชียวนะ
ต่อให้อมพระร้อยองค์มาพูดชั้นก็ไม่เชื่อ นายนะกะล่อนปลิ้นปล่อนที่สุดในสามโลกเลยล่ะ
”
“ ใจเย็นกันก่อนนะ
มีเรื่องเข้าใจผิดแน่นอนนะ เชื่อพี่บ้างเถอะนะ ”
“ จะให้เชื่อได้ยังไงล่ะค่ะ
ก็เมื่อวานทั้งอารินจัง คานะจัง และฉันเองยังเห็นอยู่....อุ้บ !! แย่ล่ะสิเผลอพูดออกไปได้ (กระสิบกับตัวเองเบาๆ) ก็ที่พูดมาฉัน...
อารินจังเมื่อวานเราไปเดินกับบ้านด้วยกันเนอะ ไม่ได้เห็นพวกคุณพี่อนันต์เลยเนอะ
” เหงื่อของมิ้งไหลออกมาอย่างหนัก
ตัวสั้นเหมือนกำลังจะหลุดความจริงออกมา
“ พี่มิ้ง !! เมื่อกี้พี่ก็เผลอหลุดออกไปนะ หนะ...หนูก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเช่นกันนะ คะ...คานะจังช่วยด้วยสิจ้ะ
อุตสาห์อยู่ด้วยกันนะ ”
อารินพยายามแก้ตัวอย่างรวดเร็วเหมือนกำลังพยายามเอาไฟดับน้ำอยู่เลย
“ อะ..เอ่อ คือว่า
ฉันเอง...ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย...ทำไมล่ะตาบ้าอนันต์ เรื่องของนายใครอยากจะรู้ล่ะ
” เธอพูดไม่ตรงกับใจเช่นเดิม
และด้วยเหตุนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าเมื่อวานสามคนนี้ทำอะไรหลังจากเลิกเรียน
และรู้ด้วยว่าทำไมวันนี้ตอนเช้าพี่ชินถึงได้โดนอัดซะตัวดำเมี่ยมนอนสลบอยู่ตรงโต๊ะของพี่เขา
“ แต่ก็อย่างว่านั้นแหละค่ะ
!! มีอะไรรึป่าวล่ะค่ะ ทำอะไรลับๆ ล่อๆ น่าสงสัย
คนอื่นมาเห็นมันดูไม่ดีนะค่ะ ” มิ้งที่ตอนแรกยังเขิญอายไม่กล้าพูด
กลับตะโกนถามด้วยเสียงที่แหลมแสบเข้าไปในแก้วหู
“ นั้นแหละ !!
บอกมาเดี่ยวนี่นะตาบ้า ก่อนที่ฉันจะเอาดาบเล่มนี่ไปเผานายให้เป็นจุลอีกรอบหนึ่ง
” คานะหยิบดาบของเธอที่ลุกเป็นประกายไฟเล็กๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
“ อะ...เอ่อ คือว่าหนูว่าพี่ทั้งสองคนใจเย็นก่อนดีกว่านะ
การที่เราใจร้อนทำอะไรสักอย่างโดยไม่คิดก่อนมีแต่จะนำผลเสียมาสู่ตัวเรานะ คานะจัง
มิ้ง ” อารินเตือนเพื่อนรุ่นพี่ของเธอด้วยอาการสั่นๆ
เล็กน้อย
“ แล้วที่นอนเป็นเฉาก๋วยอยู่ข้างๆ
โต๊ะของพี่คืออะไรล่ะครับ คุณน้องอาชิตะ ” ผมชี้ไปที่ร่างของพี่ชิน
“ ปะ...ป่าวสักหน่อยค่ะคุณพี่เรนดร้อป
ที่คุณพี่เรนดร้อปเห็นมันเป็นภาพลวงตาค่ะ จะ..จริงๆ นะค่ะ ” เธอแก้ตัวอย่างหนัก
“ คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้นะทั้งสามคน
ฟังพี่ก่อนนะ ใจโล้งๆ ใจเย็นๆ ” ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะของผมด้วยอาการเกรงกลัวเล็กน้อย
ผมเก็บดาบที่ยังไม่ทันได้ชักออกฝักของดาบของผมลงใต้โต๊ะ
ทั้งสามคนเก็บอาวุธคนตัวเองแล้วลากเก้าอี้ที่อยู่แถวนั้นมานั่งล้อมรอบผมเหมือนกับนักเลงที่กำลังจะไถ่เงิน
ผมได้แต่นั่งเกร็งอยู่กับที่ ตัวสั้นหยิกๆ ราวกับกำลังจะโดนประหารอะไรสักอย่าง
ผมเหลือบมองไปที่พี่ชินที่นอนแอ่งแม่งโดยฝีมือของแม่หนูอาริน
คอยแต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น
“ ว่าไงล่ะพี่
!! ” ทั้งสามคนตะโกนออกมาพร้อมกันทำเอาผมสะดุ้งไปไม่ถูกทางเลยทีเดียว
“ แหม่ !! ก็ไม่มีอะไรมากหรอกนะทั้งสามคน พี่กับพี่ชินก็แค่... ”
“ ยังไงค่ะ ทำไมพูดช้าแบบนี้ล่ะค่ะ
” มิ้งทุบโต๊ะ ทำเอาผมใจล่นไปกองกับพื้นเลย “ อ้อ !! กำลังหาข้อแก้ตัวละซิ
”
“ เร็วๆ ซิตาบ้า ถ้าไม่รีบพูดให้จบพี่ได้เป็นอาหารเย็นของสัตว์เลี้ยงหน้าบ้านฉันแน่
!! ” คานะหยิบดาบของเธอที่วางอยู่ข้างๆ ชี้ที่ผม
ขณะที่มิ้งนั้นก็ไม่ได้ห้ามอะไร กลับส่งสายตาให้กับคานะราวกับว่า “ เอาเลย !! ฆ่าให้ตาย ไม่ต้องเหลือไว้ก็ได้ ” ประมาณนี้ คานะเห็นดังนั้นก็พยักหน้าตามด้วยซะงั้น
“ ไม่นะพี่ชินจัง ” อารินเริ่มออกอาการเหมือนกำลังจะร้องไห้ น้ำตาเริ่มไหลออกมาเล็กน้อยแล้ว
“ คือว่าน้องๆ ทุกคน
พอดีว่าเมื่อวันก่อนพี่กับพี่ชินก็เดินกลับบ้านตามปกตินี้แหละ แล้วผู้หญิงที่น้องทั้งสามเห็นนั้นน่ะ
เขาแค่มาถามทางเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก มีแต่พี่ชินคนเดียวนั้นแหละที่เข้าไปจีบเขานะ ”
ผมรีบแก้ตัวอย่างกะทันหัน
“ อ้าวน้องอนันต์ !! ทำไมทำยังนี้อ่ะ อุตสาห์จะนอนเนียนสักหน่อย อย่าโยนกันแบบนี้สิ ” จากร่างที่นิ่งเหมือนศพเมื่อครู่ก็ลุกขึ้นมาพูดอีกครั้งด้วยอาการร้อนรนสุดขีด
ผู้หญิงทั้งสามคนเมื่อได้เห็นจึงจ้องเขม่นไปที่พี่ชิน
“ มีแต่น้องอนันต์นั้นแหละที่บอกว่า
น่ารักดีนะ แหม่ถ้าได้เป็นแฟนโชคดีตายเลย แบบนี้อ่ะ ”
“ เห้ย !! เวรเอ๋ย
” ซวยแล้วล่ะครับ ตอนนี้เจ้าโยนความผิดมาที่ผมเรียบร้อยแล้ว ความตายกำลังจะมาเยือนพวกผมทั้งสองคน
“ งั้นหรอ หวังว่าพี่ไลก้าบ้านั้นคงไม่ได้โกหกหรอกนะ
” คานะพูดเสร็จพร้อมกับยิ้มแบบหนังสยองขวัญ
“ มันโกหก
ยะ...อย่าไปเชื่อเจ้าพี่ชินเลย พี่มันพยายามโยนความผิดให้ผมนะ น้องมิ้งช่วยพี่ทีสิ
” ผมเข้าไปกอดที่ขาของมิ้ง พยายามขอให้เธอเชื่อในสิ่งที่ผมพูด
แต่แล้วเธอมองหน้าผมด้วยสายตาที่ดำมืด หลังจากนั้นจึงหันไปมองที่พี่ชิน
“ จริงรึป่าวค่ะ พี่ไลก้า
” เธอถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไร้ความอ่อนหวานที่เธอเคยมีอยู่เมื่อตอนที่แรกพบเจอ
“ จริงสิๆ ที่น้องอนันต์พูดน่ะโกหก
ที่พี่พูดน่ะความจริง ” พี่น้องรักอย่างผมทั้งสองคนตอนนี้ได้ฆ่ากันเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มิ้งนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไร เธอจึงหันไปคุยกับอารินซึ่งกำลังยืนอ่ำๆ อึ่งๆ
อยู่ว่าอยากจะทำอะไร
“ น้องอาริน ไม่ต้องรอแล้วจ้ะ
จัดการตามที่น้องอยากจะทำเลย ฉันไม่ว่าหรอกจ้ะ ”
“ จะ..จริงหรอค่ะ
ดีล่ะ !! พี่ชินวันนี้พี่ต้องชดใช้ในสิ่งที่พี่ทำ
รับรองสบายๆ แน่นอนค่ะ ” อารินพูดแล้วยิ้มสดใสด้วยอาการร่าเริงยินดีอะไรสักอย่างตรงข้ามกับความรู้สึกของพี่ชินตอนนี้
“ โอ้ย !! ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหลแล้... เอือก !! ตาย ” เขาแกล้งตายอีกครั้งหนึ่ง
“ ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะพี่ชิน
เดี่ยวพี่ชินคงต้องนอนรอแบบนั้นไปสักพักหน่อยล่ะนะค่ะ เพราะว่า เดี่ยวรอหุ่นมันชาร์ตพลังให้เต็มก่อน
จะได้ปล่อยทีเดียวให้ไปดาวอังคารเลย ” เธอไปปรับแต่งหุ่นตัวเล็กที่เธอใช้จัดการไปเมื่อสักครู่
นำมาวางใกล้พี่ชินอีกครั้ง
“ โครตอลังการงานสร้างจริงๆ
เลยอารินจ๋า สมแล้วที่เธอเป็นคนเก่งที่ฉันนับถือ ” เขาลุกขึ้นมาพูดอีกแล้ว
“ เอาจริงๆ
ค่ะไม่ต้องมาพูดเล่น ในตอนนี้หนูมีบทเต็มที่ค่ะ พี่ชิน !! ”
“ พี่ชินเนี่ยไม่น่าทำแบบนี้เลยนะ
นิสัยไม่ดีๆ ว่าแต่วันนี้อากาศดีจังเลยเนอะ ” ผมซึ่งเห็นสภาพของพี่ชินแล้วดังนั้น
ก็เดินออกไปห่างๆ ด้วยความแนบเนียน
“ ระวังฟ้าผ่านะค่ะ
” มิ้งพูดเตือนจนทำให้ผมถึงกับยืนนิ่งไปไหนต่อไม่ได้
“ วันนี้ได้ฉันจะอัดพี่สมใจอยากของฉันแน่ๆ
” คานะพูดเสร็จพร้อมกับหยิบดาบที่แนบอยู่ข้างหลังมาขัดถูให้เงางามเหมือนใหม่
โอเคตอนนี้ผมคงได้รู้ความรู้สึกที่พี่ชินเป็นอยู่แล้วล่ะ
“ ห้องนี้วุ่นวายกันแต่เช้าเลยเนอะ
!! ชาร์ ”
กล่าวถึงเรื่องราวอีกฟากหนึ่งของห้อง 2 ก่อนที่จะเข้าเรียน
ผู้หญิงผมยาวสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังเดินอุ่มกระต่ายตัวหนึ่งสีขาวพร้อมกับมีนกกระตัวเล็กตัวน้อยมาเกาะ
มาบินว่อนรอบๆ เธอไปหมด ทักทายชาร์ซึ่งกำลังยืนอึ่งอยู่ เนื่องจากตกใจกับเหล่าสัตว์เล็กน้อยใหญ่
ชาร์ที่พึ่งเสร็จจากการลอกการบ้านของบอสซุน ซึ่งให้เทอรี่นั่งลอกต่อจากเธออยู่ใกล้ๆ
บอสซุนที่ตอนนี้กำลังนั่งซึมอยู่ตรงหน้าต่าง ชาร์เริ่มตอบกลับเวลมิเรียตามมารยาท
“ อ้าว !! พี่เวลมิเรียมาแต่เช้าเลยนะเนี่ย แหม่ก็วันนี้มันวุ่นวายนิดหน่อยน่ะสิ ฉันเองก็คิดว่าวันนี้จะรีบมาเช้าๆ
สักหน่อยกลับกลายเป็นว่า ตื่นสายซะงั้น แย่จังเลยเนอะ ” ชาร์เกาที่ศีรษะแสดงอาการเขิญอายเล็กน้อย
“ นั้นสินะจ้ะ
ทีหน้าทีหลัง เจ๊ก็รู้จักดูแลตัวเองมากกว่านี้ล่ะกันนะ เจ๊น่ะทั้งทำงานพิเศษหลังเลิกเรียน
ทั้งเป็นรองหัวหน้าห้องคอยแบ่งเบาภาระงานของห้องที่ตัวหน้างี่เง่าของเราทำไว้อีก ถ้ามีอะไรบอกได้นะฉันยินดีช่วยเสมอ
” เวลมิเรียแสดงอาการสงสารชาร์
โดยยืนมือมาจับที่มือของเธอแสดงอาการห่วงใย
ปล่อยเจ้ากระต่ายตัวเมื่อสักครู่ไปเกาะบนไหล่
“ เห้ยๆ !! พี่อย่ายืนว่ากันตรงๆ ต่อหน้าสิ ผมนั่งอยู่ตรงนี้ก็อายเหมือนกันนะพี่ !!
” บอสซุนแอบที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ บ่นออกมาให้ได้ยินเล็กน้อย
ทำให้ชาร์หันไปมองเขาสักครู่พร้อมหัวเราะเบาๆ
“ ไม่เป็นไรหรอกพี่
!! ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันชินแล้วล่ะ ว่าแต่พี่เวลมิเรีย
วันนี้พี่พาพวกเขามาอีกแล้วเหรอ ” ชาร์มองไปที่บรรดาสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายที่ตามเวลมิเรียมา
รวมทั้งเจ้ากระต่ายที่กำลังเล่นผมสีน้ำเงินเข้มอันยาวสลวยของเวลมิเรีย
“ อ้าว !! แหม่เจ๊ก็พูดเกินไปแล้วนะ พวกเขาน่าสงสารจะตายไป
ดูที่กระต่ายตัวน้อยที่ฉันอุ้มอยู่สิ ฉันเห็นเขาเดินอยู่แถวหน้าโรงเรียนมาตั้งหลายวัน
รู้สึกว่าเขาเหมือนจะโดนทอดทิ้งนะจ้ะ ”
ชาร์มองอย่างบรรจงที่ตัวกระต่าย
“ หวังว่านี่คงไม่ใช้เหตุผลที่จะเอาสัตว์เข้ามาเลี้ยงในโรงเรียนหรอกนะพี่เวลมิเรีย
”
“ แหม่ !! เจ๊ก็พูดเกินไปนะ ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลย ก็พวกเขาน่าสงสารออก
ถ้าปล่อยให้พวกเขาเป็นแบบนั้น มีหวังฉันคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ แน่นอนล่ะจ้ะ
” เวลมิเรียพูดเสร็จพร้อมกับเล่นกับเจ้ากระต่ายตัวน้อยที่เธออุ้มมา
“ นี่ๆ พี่เวลมิเรียคือพอดีว่า
เมื่อวานอาหารแมวที่พี่ฝากซื้อไว้ ผมลืมไม่ได้ซื้อมา ยังไงผมต้องขอโทษจริงๆ นะพี่
” เทอรี่หลังจากที่ลอกการบ้านอย่างเอาเป็นเอาตายเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
เขาเห็นเวลมิเรียยืนคุยกับชาร์อยู่ข้างๆ จึงเดินเข้าไปคุยด้วย
โดยสารภาพคำพูดเบื้องต้นออกมา
“ แกว่ายังไงนะ !!
ไอ้เทอรี่ ” เวลมิเรียพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่เยือกเย็นและดุดัน
ทำให้ชาร์ซึ่งยืนอยู่ใกล้เคียงเกิดอาการตกใจเล็กน้อย เทอรี่เริ่มหน้าซีดอย่าเห็นได้ชัด
เขารู้ตัวดีว่า เรื่องร้ายกำลังจะเกิดขึ้นกับเขาที่ทำให้เวลมิเรียโกรธ
ว่าไปแล้วนั้นคงต้องแนะนำเพื่อนสมาชิกในห้อง
2 ของผมอีกคนหนึ่งที่มีชื่อว่า เวลมิเรีย ดราโกนาส
เรียกกันสั้นๆ ว่า เวลมิเรีย หรือ พี่เวล อายุ 18 ปี
เป็นคนที่มีอายุมากที่สุดหรือแก่รองลงมาจากพี่ชิน ผู้ที่เรียนจบมัธยมปลายก็มาต่อที่โรงเรียนนี้เพื่อเรียนวิชาชีพ
เธอเป็นคนที่รักสัตว์มากๆ ถึงขนาดตามให้อาหารสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายที่อยู่หน้าโรงเรียนทุกวัน
เธอเป็นคนที่สวย มีรัศมีของคุณหญิงคุณนายอย่างเต็มตัว
เป็นคนที่มีมารยาทดีงามอย่างครบถ้วน แต่จะนิสัยดุสุดๆ เมื่อเธอเห็นอะไรไม่ตรงตามที่เธอต้องการหรือถูกต้อง
มิ้ง คานะ อาริน และชาร์ มักจะขอคำแนะนำถึงเรื่องต่างๆ นาๆ จากเวลมิเรียผู้นี่เสมอๆ
แต่เคยมีคำเตือนอยู่อย่างหนึ่งที่กล่าวโดยมิ้งไว้ว่า
อย่าทำให้เวลมิเรียผู้นี้เป็นอันได้โกรธพิโรธวาทังเด็ดขาด
เนื่องจากพลังความโกรธของเธอนั้นโหดร้ายเย็นชาที่สุดในห้องนี่เลยทีเดียว
“ คือว่า พี่เวลมิเรีย ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะพี่
พอดีว่า เมื่อวานมีสุนัขตัวหนึ่งนะสิขาหักอยู่หน้าโรงเรียนระหว่างจะกลับบ้าน ผมน่ะนะเห็นแล้วสงสารเหลือเกิน
อดใจไม่ได้พี่ ผมก็เลย…” เทอรี่พยายามพูดอธิบายเหตุผลที่ทำไมตัวเขาเองไม่สามารถซื้ออาหารแมวมาให้เวลมิเรียได้
“
แล้วเป็นยังไงต่อ
แล้วแกทำยังไงกับสุนัขตัวนั้นล่ะ แล้วแกได้ให้อาหารพวกมันรึป่าว แล้ว…แล้ว…”
“ เอ่อ !! พี่เวลมิเรีย ให้ไอ้เทอรี่มันพูดให้จบก่อนซิ
อย่าพึ่งใจร้อน ไอ้เทอรี่คงไม่ใจร้ายถึงขนาดเอามันไปแกงต้มยำกินหรอก เนอะ ?
” ชาร์หันไปถามเทอรี่
“ ก็นะ ” เขาตอบเบาๆ
“ เห้ย !! เทอรี่ แกเอาจริงดิ นี่แกเริ่มไม่มีกินที่บ้านต้องมากินสุนัขแล้วหรอ
พี่เวลมิเรียพูดอะไรหน่อยสิ ” ชาร์ตกใจเมื่อได้ยินที่เทอรี่พูด
เธอนั้นเชื่อสนิทในขณะที่เวลมิเรียยังทำหน้าเฉยๆ อยู่และเทอรี่ที่แอบหัวเราะเบาๆ
หลังจากที่เห็นอาการของชาร์
“ ก็รู้ !! ว่าไอ้เทอรี่มันพูดเล่น เจ๊เนี่ยเชื่อเขาไปหมดเลยใช้ไหมเนี่ย
? ” บอสซุนที่นั่งอยู่ข้างๆ
พูดแทรกขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่นั่งเงียบฟังอยู่พักใหญ่
“ อ้าวหรอ ไม่น่าทำไมพี่เวลถึงไม่เสทือนสักนิดเลย
ฉันเนี่ยสงสัยทำงานมากเกินไปสินะ แหะๆ ” ชาร์พูดเสร็จพร้อมหัวเราะเบาๆ
เล็กน้อย
“ พักหน่อยบ้างก็ดีนะเจ๊ !! ร้านไม่ต้องไปทำงานทุกวันก็ได้
นอนเล่นกินนมอุ่นๆ ที่บ้านบ้างก็ได้ ” บอสซุนแนะนำชาร์ที่ตอนนี้เธอกำลังมึนๆ
อยู่ในตอนเช้า
“ พี่ก็พูดถูกนะพี่บอสซุน ฉันว่าฉันควรจะเพลาๆ บ้างก็ดี น่าจะชิวๆ เหมือนพี่บ้างสินะ
”
“ บอกแล้ว บอสซุนซะอย่าง !! ” เขาพูดเสร็จพร้อมกับเชิดหน้าอกเล็กน้อย
“
เห้ย !! ” ชาร์ฉุดคิดอะไรบางอย่างได้ “ ถ้าเป็นเหมือนพี่ก็แย่สิ
เดี่ยวเพื่อนไม่คบเอา นิสัยพี่ยิ่งชั่วๆ อยู่ ”
บอสซุนเท้าเอวแสดงอาการเคืองเล็กน้อยทันที โดยมีเทอรี่ยืนหัวเราะข้างๆ
บอสซุนจึงตบไปที่ศรีษะเทอรี่อย่างไร
“
โอ้โหเจ๊ชาร์ !! ” บอสซุนพูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ “ ฉันนี้ชั่วตรงไหนห้ะ หน้าตีก็ดี รูปหล่อ
แล้วฉันจะยังมีตรงไหนให้ชั่วอีกห้ะ ? ”
ชาร์หยิบกระจกพกอันเล็กจากกระเป๋าของเธอออกมา ยื่นให้เพื่อนรุ่นพี่ของเธอให้ส่อง
“
ลองส่องดูพี่ ” บอสซุนหยิบกระจกพกของชาร์มาส่อง
“
เหร้ย !!! ” เขาแสดงอาการตกใจอย่างสุดๆ เมื่อส่องกระจก “ ใครว่ะเนี่ย ? โครตหล่อเลยอ้า !! ”
เขาทำเสียงดัดจริตเหมือนผู้หญิงชื่นชมตัวเองตามนิสัยของเขา
ชาร์และคนอื่นๆ
อ้วกทันที “ โหยพี่กล้าพูดว่ะ ”
เทอรี่กล่าวพร้อมกับหัวเราะให้กับความหลงตัวเองของพี่ชายเขา
บอสซุนหยิบหนังสือเล่มเมื่อครู่มาตีที่ศรีษะของเทอรี่
“ หัวเราะอะไร ไอ้เทอรี่ ” เทอรี่ร้องไห้ทันทีเมื่อโดนตี
“
พี่ตีผมไมอ่ะ ” เทอรี่พูดพร้อมกับน้ำตาของตุ้ด
“
ก็แกหัวเราะเยาะเย้ยฉันไม่ใช้หรอไง ห้ะ !! ” บอสซุนเถียงกลับไป
“ ป่าวพี่ ผมไม่ได้หัวเราะ โอ้ (เทอรี่ถอนหายใจ)
พี่เนี่ยแก่แล้วนะเนี่ย หูไม่ดีๆ ”
บอสซุนชี้หน้าไปที่เทอรี่เตือนว่าอย่าหัวเราะอีก เทอรี่ได้แต่หัวเราะทำหน้าระรื่นต่อความโง่เขลาของรุ่นพี่ตัวเอง
“
เห้อ !! วันนี้มันวันอะไรว่ะ ซวยชิบเป๋งเลย วันนี้มันจะมีอะไรซวยกว่านี้อีกว่ะห้ะ ? ” บอสซุนบ่นให้กับชีวิตของตัวเอง เพื่อนๆ ของเขาที่อยู่ข้างๆ
ก็พากันหัวเราะให้กับความทุกข์ของบอสซุน